อะไรคือความหมายของการสั่งปิดโรงงาน/หยุดประกอบกิจการ และอะไรคือผลลัพธ์ที่ควรต้องเกิดขึ้น? (12 ก.ย. 67)

 

 

ภายหลังจากที่มีการปะทุขึ้นของปัญหามลพิษอุตสาหกรรม...กว้างขวางและร้ายแรง...ชวนตกใจ การมีคำสั่งปิดโรงงานก็เริ่มปรากฏให้เห็นถี่ขึ้น ส่วนใหญ่คือสั่งให้ปิดหรือหยุดการประกอบกิจการเพื่อแก้ไขปรับปรุง นั่นคือ ปิดเป็นการชั่วคราว หากมีการปรับปรุงแก้ไขตามคำสั่งแล้วก็จะกลับมาเปิดหรือประกอบกิจการได้ดังเดิม
 


หากไม่นับปัญหาลักษณะการขัดขืนคำสั่ง...ลอบประกอบกิจการต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือดื้อแพ่งไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไร หรืออาจแก้ไปแบบแกนๆ ไม่เน้นผลลัพธ์ แล้วมุ่งเน้นการเล่นงานกลับไปยังหน่วยงานผู้ออกคำสั่ง ควบคู่กับการเล่นเกมยื้อให้ต้องลงตรวจกันแล้วตรวจเล่า ซึ่งส่วนใหญ่ “การยืนระยะ” ของฝ่ายราชการจะอ่อนด้อยอยู่แล้ว ขณะที่โอกาสถูกเล่นงานมีสูงยิ่ง ทั้งจากระดับนโยบายที่มัก “โปร” และ “โปรด” อุตสาหกรรม ทั้งจากชาวบ้านที่ผจญปัญหามาจนแทบไม่เหลือความอดทน
 


แท้ที่จริง ตามที่กล่าวข้างต้นล้วนเป็นมาตรการปกติที่มักปฏิบัติกันและมักเกิดขึ้น แต่หากมองข้ามส่วนนี้ไป ว่ากันในมาตรฐานแบบควรจะเป็น นั่นคือ ทางโรงงานปฏิบัติตามคำสั่งเป็นอย่างดี ก็ยังคงมีประเด็นว่า ผลลัพธ์ที่ควรจะได้จากคำสั่งลักษณะดังกล่าวคืออะไร?
 

 

 


จากการที่มูลนิธิบูรณะนิเวศลงพื้นที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา คำถามเกี่ยวกับความหมายและผลลัพธ์ของการมีคำสั่งปิดโรงงานก็ยิ่งดังก้อง
 


“ยังเห็นน้ำไหลอยู่ ผมว่ามันเขียวขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ว่ายังมีการทำงานหรือเปล่า แต่น้ำมันไหล”
 


ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับโรงงานรีไซเคิลเถื่อนทุนจีน พื้นที่หมู่ 4 ต. คลองกิ่ว อ. บ้านบึง จ. ชลบุรี บอกเล่าหลังเห็นน้ำเสียที่ไหลออกมาจากบ่อดินเปลือยที่ติดอยู่กับโกดัง A6 ซึ่งเป็นอาคารที่กลุ่มโรงงานแห่งนี้ใช้ประกอบการรีไซเคิลชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์