พบ VOCs สูงในระดับอันตรายมาก ที่เอกอุทัยศรีเทพ (19 มิ.ย. 67)

 

 

เก็บไว้เป็นหลักฐาน กรณีเอกอุทัย สาขาศรีเทพ ว่าสิ่งที่ถูกลอบฝังไว้ใต้ผืนดินที่นั่น มีค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม (VOCs) สูงกว่า 200 ppm (ส่วนในล้านส่วน)!!
 


นอกเหนือจากความตื่นตะลึงจากภาพอันแปลกประหลาดและเหลือเชื่อที่ตาเห็น ตลอดจนกลิ่นฉุนกึกระดับทำลายประสาทการรับกลิ่น สิ่งที่ปรากฏออกมาจากการขุดสำรวจหลุมแรกในพื้นที่บริเวณหลุมฝังกลบของเสียของบริษัท เอกอุทัย จำกัด สาขาศรีเทพ ตั้งอยู่ที่บ้านม่วงชุม ต.คลองกระจัง อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ยังถูกตรวจพบด้วยว่ามีค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม หรือ VOCs สูงถึง 207.1 ppm 
 


ค่าดังกล่าวได้จากการวัดด้วยเครื่องมือแบบพกพาของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ขณะที่อยู่ในพื้นที่เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ซึ่งสูงเกินกว่าค่าที่ปรากฏในเครื่องวัดแบบพกพาของมูลนิธิบูรณะนิเวศถึง 100 เท่า
 

 


ทั้งนี้ สำหรับกองดินปนเปื้อนและของเสียอันตรายที่ขุดขึ้นมาจากจุดขุดจุดแรกนั้น เครื่องของมูลนิธิวัดและแสดงค่าของกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย หรือ tVOC ที่ 2,000 ppb (ส่วนในพันล้านส่วน) โดยตลอด
 


โดยที่ 2,000 ppb เป็นค่าสูงสุดที่เครื่องพกพาของมูลนิธิบูรณะนิเวศสามารถตรวจวัด tVOC ได้ ซึ่งเมื่อคิดในหน่วย ppm ค่า 2,000 ppb จะเท่ากับ 2 ppm เท่านั้น
 


ศักยภาพเครื่องมูลนิธิไม่สูงมากนัก เนื่องจากเป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับการตรวจวัดความผิดปกติเบื้องต้น ซึ่งในอากาศปกติทั่วไปย่อมไม่ควรจะมีค่า tVOC แม้เพียง 1 ppb ด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่า 1 ppb เมื่อคิดเป็น ppm จะมีค่าเพียง 0.001 ก็ตาม
 


การที่เครื่องซึ่งตรวจวัดแบบตลอดเวลาในขณะนั้น (realtime) แสดงผลค่า tVOC ค้างที่ค่าสูงสุดที่วัดได้ ณ จุดขุดที่ 1 จึงนับเป็นเรื่องไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง


 

 


นอกจากนั้น ในจุดขุดที่ 3 มีบางขณะที่ค่าบนเครื่องแสดงผลถึง 2,000 ppb เช่นเดียวกัน ส่วนในจุดขุดที่ 2 นั้นค่าไม่ถึงค่าสูงสุดของเครื่อง ส่วนจุดขุดที่ 4 และ 5 ไม่อาจตรวจวัดได้ เนื่องจากหลังจากจุดที่ 3 แล้ว เครื่องของมูลนิธิก็ดับไป ด้วยเหตุที่เครื่องได้รับปริมาณสารมลพิษ โดยเฉพาะ tVOCs สูงเกินค่าสูงสุดที่เครื่องสามารถวัดได้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เครื่องมีอาการร้อนและปิดตัวเองลง
 


เมื่อดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่บันทึกผลการวัดของเครื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นการประมวลผลลักษณะเป็นค่าเฉลี่ยต่อนาที กราฟแสดงอย่างชัดเจนว่า ในวันที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา ช่วงเวลาระหว่าง 10.19 น. - 10.32 น. โดยประมาณ มีหลายช่วงนาทีที่เครื่องวัด tVOC ได้ค่าสูงสุดของเครื่อง อันแสดงให้เห็นว่า ดินปนเปื้อนและสารอันตรายในหลุมที่จุดขุดที่ 1 ดังกล่าวนั้นเป็นสารที่มีอันตรายสูงมาก
 


เนื่องจากช่วงเวลาโดยประมาณของการเริ่มขุดจุดที่ 1 คือ 10.17 น. จุดที่ 2 เริ่มเวลาประมาณ 10.42 น. และจุดที่ 3 เริ่มในเวลาเกือบ 11.00 น.
 


ทั้งนี้ จุดขุดที่ 1 เป็นจุดเหนือคาดหมายด้วยองค์ประกอบหลายๆ ประการอยู่แล้ว ทั้งความตื้นของการฝังกาก ลักษณะทางกายภาพของกากที่ปรากฏ รวมถึงค่า VOCs
 

 

 


หากเทียบกับครั้งที่มูลนิธิฯ นำเครื่องนี้ไปตรวจวัดช่วงเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ที่โรงงานของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด ที่บ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง หรือแม้แต่การวัดในพื้นที่ไฟไหม้โกดังภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา นอกจากเครื่องจะไม่เคยแสดงค่า tVOC ไปถึงค่าสูงสุดดังกล่าวแล้ว ยังไม่เคยไปถึงหลัก 1,000 ppb หรือ 1 ppm เลยด้วยซ้ำ
 


ผลการตรวจกองดินปนเปื้อนและของเสียอันตรายที่ขุดขึ้นมาจากจุดขุดจุดแรกโดย คพ. ซึ่งพบค่า VOCs สูงถึง 207.1 ppm จึงนับว่าเป็นระดับที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
 


ที่สำคัญ นี่คือหลักฐานอีกลักษณะที่ยืนยันหนักแน่นว่า ข้อร้องเรียนและเสียงขอความช่วยเหลือของชาวม่วงชุมตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น มาจากการผจญความทุกข์จริง และเดือดร้อนจริง
 


และนี่คือหลักฐานด้วยว่า สุขภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคตของชาวม่วงชุมจะต้องได้รับการดูแลในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม และผลงานอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมของบริษัทเอกอุทัย จำกัด สาขากลางดง รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายด้วย ซึ่งทั้งหมดควรจะต้องรับผิดชอบต่อสุขภาพของพวกเขา รวมทั้งต้องรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมที่บ้านม่วงชุม ต.คลองกระจัง อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ต่อไป
...
...
ภาพถ่ายโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ