ครึ่งชั่วโมงทรงประสิทธิภาพของนายกฯ ทำชาวบ้านผิดหวัง-ฟังแต่ราชการ-งานชะงัก (27 เม.ย. 67)

 

 

27 เมษายน 2567 - ผอ. บูรณะนิเวศตกใจ...นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แวะมา บ้านหนองพะวา ต.บางบุตร จ.ระยอง พื้นที่เกิดเหตุไฟไหม้กากสารพิษของโรงงานบริษัท วิน โพรเสสฯ ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงตามกำหนดการ แต่ทำชาวบ้านที่ทุกข์ทนกับเพลิงเคมีมาทั้งอาทิตย์ ผิดหวังกันถ้วนหน้า ใช้เวลาฟังรายงานจากข้าราชการเป็นหลัก ซึ่งนำเสนอเน้นความราบรื่นของเหตุการณ์และความไม่ค่อยมีอะไรในเชิงปัญหา แม้แต่ปฏิบัติการระงับเหตุไฟคุกรุ่นก็ยังถูกสั่งยุติตั้งแต่เช้าก่อนที่นายกฯ จะมาถึง นัยว่าเพื่อบรรยากาศอันดีงาม
 


ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง นำทีมงานลงพื้นที่หนองพะวาวันนี้ โดยช่วงเช้าเข้าเยี่ยมเทียบ สมานมิตร ชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งเป็นสมาชิกในเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม ที่ทางมูลนิธิร่วมงานด้วย พร้อมกับสำรวจดูสภาพของโกดัง 5 ที่เป็นทั้งต้นเพลิงและจุดที่ยังคงมีไฟคุกรุ่นปล่อยควันพิษออกมาจนถึงวันนี้
 

 

 


จากนั้นเพ็ญโฉมและคณะได้เข้าร่วมในเหตุการณ์การแวะเข้ามาในพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ต่อด้วยการต้อนรับและสนทนากับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เข้ามาดูพื้นที่รับผลกระทบของเทียบ สมานมิตร และชมสภาพความเสียหายที่แท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนี้ ก่อนที่ในช่วงเย็นจะร่วมกับชาวบ้านในกลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อม รักษ์หนองพะวา และเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม ตั้งวงสนทนาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและการมาของนายกฯ ในวันนี้ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางเพจมูลนิธิบูรณะนิเวศนี้ไปแล้ว
 


ในวงสนทนา ผู้เข้าร่วมจากพื้นที่ต่างแสดงความรู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน ว่าผิดหวังกับการมาของนายกฯ ในวันนี้ และดูเหมือนจะพูดอย่างอื่นไม่ออก มีความอึ้งกันถ้วนหน้า
 


ส่วนเพ็ญโฉม เปิดเผยว่า ตั้งแต่เช้า ขณะที่กำลังเข้าดูพื้นที่บริเวณโกดัง 5 ได้พบกับทีมงานจิตอาสายังคงปฏิบัติการดับไฟอยู่ แต่แล้วก็ถูกสั่งให้ยุติเพราะเหตุที่นายกฯ จะลงพื้นที่
 


“เรามาถึงแต่เช้า ยังเจอคุณ...ฉีดน้ำอาคาร 5 อยู่เลย ควันยังคุกรุ่นออกมา แต่คุณ...ต้องถอนกำลังออกไป เพราะมีโทรศัพท์มาสั่งว่าวันนี้นายกรัฐมนตรีจะมา ไม่ต้องการให้เห็นภาพความโกลาหลในการจัดการดับเพลิงหรือควบคุมสถานการณ์ อยากให้ภาพทุกอย่างมันสงบเรียบร้อย เรารู้สึกว่าอันนี้คือการจัดฉากเพื่อต้อนรับนายกรัฐมนตรี มันขัดต่อความเป็นจริงและความรุนแรงของปัญหา” เพ็ญโฉมกล่าวในการไลฟ์สด
 


พร้อมบอกเล่าอีกว่า ในการรายงานสถานการณ์ต่อนายกฯ กลับมีการบอกว่าสามารถดับเพลิงได้แล้ว 100% ยกเว้นอาคาร 3 เท่านั้นที่ยังมีปัญหาอยู่ และในส่วนของปัญหามีการแสดงเป็นผังภาพ ซึ่งไม่ใช่ภาพที่แท้จริง
 


“ฟังแล้วผิดหวังมากๆ และรู้สึกเสียใจเลย” เพ็ญโฉมระบุความรู้สึก
 


จากนั้นได้กล่าวถึงอีกภาพน่าผิดหวังว่า “นายกรัฐมนตรีมาพื้นที่นี้ จะด้วยมีแผนการที่ชัดเจนว่าตั้งใจจะมา หรือเป็นแค่ทางผ่าน พอสถานการณ์มันร้อนก็เลยคิดว่าแวะมาดูสักนิดหนึ่ง อันนี้เราไม่ทราบชัดเจน แต่เรารู้ว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีจะมาพื้นที่ ทุกองคาพยพของส่วนราชการถูกเกณฑ์มาทั้งหมด...เยอะมาก พูดง่ายๆ ว่าทรัพยากรของทุกหน่วยงานถูกเกณฑ์มา แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร เดินตามกันมา ประมาณสองสามร้อยได้”
 


ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศขยายความอีกว่า นายกรัฐมนตรีถูกพามาให้เห็นเฉพาะหน้าโรงงาน ซึ่งไม่ได้มองเห็นความเสียหายที่แท้จริง แม้เพียง 1%
 


“อันนี้ที่เรารู้สึกว่า การเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าถูกปกปิดข้อเท็จจริง ถูกปกปิดข้อมูลที่มันเกิดขึ้นจริงจากข้าราชการทั้งหมดแล้ว นายกรัฐมนตรีเหมือน...คนไม่มีปัญญา เรารู้สึกอย่างนั้นเลยว่า นายกรัฐมนตรีมองไม่เห็นข้อเท็จจริง ถูกปิดกั้นจากสิ่งที่เป็นความจริงทั้งหมด ด้วยข้าราชการที่รายงานสิ่งที่ไม่ได้เป็นความจริง ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นเราก็ตกใจนิดนึงว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีถูกปิดกั้น ถูกให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงทั้งหมดขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าอย่างนั้น นายกฯ จะไปตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อท่านไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นจริง”
 


อีกฉากหนึ่งที่เพ็ญโฉมเล่าไว้ในไลฟ์คือ การที่นายกฯ มีการกล่าวถึงมาตรการที่รัฐบาลเตรียมการจะทำ โดยใช้วิธีอ่านจากกระดาษที่มีผู้เตรียมไว้ให้
 


“คือท่านอ่าน ท่านใช้วิธีอ่านว่า รัฐบาลจะทำการนี้ๆๆๆ สั้นมากๆ โดยท่านไม่ได้รู้เลยว่าปัญหาเกิดขึ้นอย่างไร ความเสียหายเป็นอย่างไร ผลกระทบอย่างไร ทั้งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผลกระทบระยะสั้นระยะยาว ทั้งหมดควรจะเป็นอย่างไร แล้วท่านมาอ่านตรงนี้ มันน่าเสียใจตรงที่ว่า มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นความจริง ท่านถูกกำกับให้พูด ท่านถูกบอกแนวทางว่าต้องพูดอย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้นำของประเทศ แล้วไม่รู้ข้อเท็จจริง แล้วให้คนมาเตรียมคำพูดแบบนี้ สำหรับเรา เราว่ามันน่าอายและน่าผิดหวังมาก”
 


เพ็ญโฉมยังกล่าวถึงชั่วขณะที่มีตัวแทนกลุ่มรักษ์หนองพะวาพยายามเข้าไปหา ว่านายกฯ ไม่มองหน้าชาวบ้านเลย เสมองไปทางอื่น ขณะที่รับหนังสือจากชาวบ้านหลากหลายกลุ่มก็รับฟังเพียงสั้นๆ แล้วขึ้นรถกลับทันที 


 

 


ด้านดาวัลย์ จันทรหัสดี เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม ตั้งคำถามถึงการที่ข้าราชการเข้าไปโอบอุ้มนายกฯ จนชาวบ้านเข้าไม่ถึง รวมถึงการรายงานสถานการณ์ในลักษณะที่ไม่มีผลกระทบใดๆ ว่าเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ 
 


“ทำไมนายกฯ ไม่มาฟังเสียงชาวบ้าน ในการแก้ไขปัญหาอันนี้ แล้วการปิดกั้นไม่ให้เข้าถึง อันนี้ดิฉันคิดว่าไม่เหมาะสมอย่างมาก” ดาวัลย์ตอบคำถามเองในที่สุด
 


ทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกได้ว่า หนองพะวาวันนี้ ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยผักชีกับฉากที่ถูกสร้างกางขึงขึ้นมาจนบดบังทั้งโกดัง 5 และโกดัง 3 ที่ยังปล่อยควันพิษอยู่..แม้เป็นวันที่ 7 ของเหตุการณ์แล้ว
 


ภาพโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ