เรื่องราว “มหากาก” ที่หนองพะวา (ตอน 1) (23 เม.ย. 67)

 

 

 

ราวฉากในภาพยนตร์สงคราม...
 


เหล่านี้คือภาพหลังผ่านเหตุการณ์ไฟไหม้ตลอดหนึ่งวันครึ่งที่ผ่านมา ในบริเวณโรงงานรีไซเคิลของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด บ้านหนองพะวา หมู่ที่ 4 ต. บางบุตร อ. บ้านค่าย จ. ระยอง
 


สถานการณ์ ณ วันที่สองของเหตุการณ์คือยังต้องเฝ้าระวังความร้อนระอุที่ซ่อนอยู่ในกองเชื้อเพลิงพิษ
 

 

 


เพราะแม้ไม่มีเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงแล้ว แต่การสะสมความร้อนของกากสารพิษอันตรายที่มีปริมาณมากมายและกองซ้อนทับกันคือความเสี่ยงที่อาจนำมาสู่การลุกไหม้อีกครั้ง เท่าๆ กับความเสี่ยงที่จะเกิดปฏิกิริยาเคมีอันไม่พึงประสงค์ หากมีการเข้าดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับกองซากเชื้อเพลิง
 


นั่นเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เมื่อมองจากสายตาของวันนี้
 


แต่มองอย่างรู้ประวัติ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เนื่องจากโรงงานแห่งนี้มีการสะสมกากสารพิษมานานนับสิบปี มีของเสียหลากหลายรูปแบบ ทั้งเศษพลาสติก เศษเหล็ก ผงเหล็ก ทินเนอร์เก่า เศษสี และน้ำมันเครื่องใช้แล้ว
 

 

 


ที่สำคัญคือ ไม่ได้เก็บกักสารพิษไว้เฉพาะบนดิน แต่มีที่ลอบฝังไว้ใต้ดินด้วย
 


เรื่องนี้สาธารณชนไม่รู้ แต่ชาวบ้านในพื้นที่ที่รับผลกระทบรู้ และมีส่วนราชการที่ร่วมรับรู้เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
 


ตั้งแต่เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ในวันที่ 1 เมษายน 2556 สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองเคยได้รับการประสานจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางบุตร ให้เข้าตรวจสอบกรณีการลักลอบฝังกลบของเสียในพื้นที่แห่งนี้ มีการประสานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและพบว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของบริษัทวิน โพรเสสฯ มีการขุดบ่อในการฝังกลบจำนวน 3 บ่อ และพบการอัดก้อนกระดาษ คัดแยกขยะต่าง ๆ แบ่งเก็บน้ำมันเครื่องใช้แล้ว และแปรรูปน้ำมันเครื่อง มีอาคารโรงเก็บของจำนวน 5 โรง มีการเก็บขยะต่างๆ โดยบริษัทฯ ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน แต่มีใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตราย
 

 

 


เมื่อศูนย์วิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงงานภาคตะวันออกได้เข้าร่วมตรวจสอบและเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมในโรงงาน ได้มีการขุดหลุมตรงจุดที่ชาวบ้านสงสัยว่ามีการฝังกลบไปแล้ว ปรากฏว่าพบขยะหลากหลาย มีไอระเหยจากหลุม ส่งกลิ่นเหม็นมาก ผลการตรวจวัดพบสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม (Total VOCs) สูงกว่า 60 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า “จึงน่าเชื่อได้ว่ามีการปนเปื้อนของตัวทำละลาย (Solvent) ในหลุมฝังกลบดังกล่าว”
 


ถ้าหน่วยงานที่มีหน้าที่ทำงานของตัวเอง ณ จุดนี้ ก็จะเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม และเหตุการณ์เมื่อวานย่อมไม่เกิดขึ้น
 


อย่างไรก็ตาม หากไล่เรียงกันจริงๆ มีฉากที่สามารถตัดไฟแต่ต้นลมเกิดขึ้นอีกมากมายตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา
 

 

 


นั่นเป็นเหตุให้มูลนิธิบูรณะนิเวศเรายืนยันเสมอว่า ปรากฏการณ์พีคๆ เรื่องมลพิษเป็นเพียงการปะทุเศษเสี้ยวของปัญหาที่ใหญ่มหึมา
 


เรื่องราวของ “กรุสารพิษ” แห่งหนองพะวานี้หมักหมมปมความล้มเหลวของระบบและความไม่ชอบมาพากลในการปฏิบัติหน้าที่ของหลายฝ่ายไม่น้อยหน้ากรณีกากแคดเมียม ซึ่งทางเพจจะค่อยๆ ทยอยเล่าเป็นอีกเรื่องคู่ขนาน
 


รวมทั้งยังมีกรณีอื่นๆ ที่เลวร้ายไม่แพ้กัน เพียงแต่ยังไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างแท้จริง เพราะยังไม่ถึงวันที่เศษเสี้ยวปัญหาปะทุออกมา
 


ภาพถ่ายโดย นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ
และกลุ่มรักษ์สิ่งแวดล้อม รักษ์หนองพะวา