ภาคประชาสังคมชง คพ. ขับเคลื่อน PRTR อธิบดีขานรับเป็นแนวทางป้องกันปัญหาก่อนเกิด (16 เม.ย. 67)

 

อาจเป็นรูปภาพของ 9 คน และ ข้อความ

 

 

เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา มูลนิธิบูรณะนิเวศและมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม ได้เข้าพบปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางและบทบาทของ คพ. ต่อร่างกฎหมาย PRTR ฉบับประชาชน ที่คาดหมายได้ว่าจะมีส่วนช่วยในการสร้างฐานข้อมูลมลพิษและการเข้าถึงข้อมูลจากภาคอุตสาหกรรม
 


เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวเปิดการสนทนาว่า การที่ภาคประชาสังคมจำเป็นต้องมาพูดคุยหารือกับ คพ. เนื่องจาก คพ. ถือเป็นหน่วยงานที่จะมีบทบาทสำคัญ ด้วยเหตุที่ในร่างพระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือร่างกฎหมาย PRTR ฉบับประชาชน ได้มีการระบุให้ คพ. เป็นหน่วยงานที่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบตามพระราชบัญญัติดังกล่าว อีกทั้ง PRTR เป็นงานที่ต้องใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นงานวิชาการ และจำเป็นต้องมีการประมวลข้อมูล ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้ผลักดันกฎหมาย ทั้งสองมูลนิธิจึงเล็งเห็นว่า คพ. ที่เป็นหน่วยงานวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศมีความเหมาะสมและมีศักยภาพที่จะรับผิดชอบงานในส่วนนี้ได้
 


“ในปัจจุบันกรมโรงงานอุตสาหกรรมมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล ทั้งออกใบอนุญาตให้กับโรงงาน หรือในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุน การตั้งโรงงาน การขยายโรงงาน แล้วก็มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบโรงงานด้วย ซึ่งเราถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ที่มีความย้อนแย้ง เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ทางภาคประชาสังคมจึงคิดว่าการกํากับดูแลเรื่องของมลพิษและการจัดการสิ่งแวดล้อมควรมาอยู่ในส่วนของกรมควบคุมมลพิษ แต่เราเชื่อว่าการไปแก้ไขโครงสร้างตรงนั้นมันทำได้ยาก แต่ทว่ากฎหมาย PRTR น่าจะเป็นกลไกสําคัญที่สร้างสมดุลตรงนี้ได้ ในการทําให้กรมควบคุมมลพิษมีอํานาจส่วนหนึ่ง และเป็นอํานาจที่เหมาะสมในการกํากับดูแลเรื่องการเรียกข้อมูล การเรียกรายงาน การประมวลข้อมูลจากโรงงานต่างๆ ซึ่งเราเชื่อว่าตรงเนี้ย มันเป็นสิ่งที่ทําให้เกิดการถ่วงดุลกันได้ระหว่าง กรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมควบคุมมลพิษ” เพ็ญโฉมกล่าว


 

อาจเป็นรูปภาพของ 13 คน, ผู้คนกำลังอ่านหนังสือ และ ข้อความ

 


ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมารับรู้ถึงข้อจำกัดของ คพ. ในด้านการเข้าถึงข้อมูลจากภาคอุตสาหกรรมและกรมโรงงานอุตสาหกรรม อีกทั้งที่ผ่านมา คพ. มักตกเป็นจำเลยของสังคม เวลาที่เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม-มลพิษ บางกรณีก็ถูกฟ้องในหลายคดี ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ คพ. ไม่ควรที่จะต้องมาแบกรับ เนื่องจากไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการกำกับและออกใบอนุญาต รวมถึงการเข้าไปตรวจสอบก็ทำได้ยาก ถึงแม้จะตรวจสอบเสร็จและพบปัญหาแล้วก็ไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ ทำได้เพียงให้ข้อเสนอแนะ
 


ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดี คพ. กล่าวว่า ในวันนี้สังคมกำลังประสบกับปัญหาเรื่องกากแคดเมียม จึงถือว่าเป็นจังหวะเหมาะที่ได้มีการเข้าพบพูดคุยกัน 
 


“ในกรณีนี้เราจะพบว่าสิ่งสำคัญคือการป้องกัน ถ้าเราแก้ปลายเหตุมันทำได้ยาก เพราะมีการสูญหายระหว่างทาง ถ้าเราเริ่มทำที่ต้นทางได้ดี เราจะไม่เกิดปัญหาที่ปลายทาง ถ้าโดยหน้าที่ของกรมควบคุมมลพิษ เราก็ยืนยันว่าการป้องกันดีที่สุด ซึ่ง PRTR เป็นการป้องกันที่ต้นเหตุ ถ้ามันครบวงจร แล้วมันก็จะไม่เกิดปัญหาที่ปลายเหตุ”
 

 

อาจเป็นรูปภาพของ 2 คน, ห้องข่าว และ ข้อความ

 


ในช่วงท้ายของการสนทนา ภาคประชาสังคมเน้นย้ำว่า ร่างกฎหมาย PRTR ฉบับประชาชน จะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านการป้องกันมลพิษของประเทศ ขณะเดียวกันก็จะเสริมอํานาจหน้าที่ของ คพ. ขึ้นด้วย เนื่องจากจะเป็นหน่วยงานที่ได้รับดูแลข้อมูล สามารถที่จะพิจารณาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนทั้งการป้องกันและการแก้ไขปัญหาได้
 


“และเราคิดว่า กรมควบคุมมลพิษเป็นความหวังของสังคมไทยในการแก้ไขปัญหามลพิษในระยะยาว” ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าวทิ้งท้าย
 


เรื่อง/ภาพถ่ายโดย นราธิป ทองถนอม มูลนิธิบูรณะนิเวศ