ภาคประชาสังคมร่วมเสวนาสนธิสัญญาพลาสติกโลก เพื่อยุติมลพิษพลาสติก (25 มี.ค. 67)

 

 

 

25 มีนาคม 2567 กรุงเทพมหานคร – เมื่อเดือนมีนาคม 2565 การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 5 (UNEA 5)  ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ได้มีมติเห็นชอบร่วมกันกับสมาชิก 175 ประเทศ ให้มีการจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษจากพลาสติก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยตั้งเป้าให้แล้วเสร็จภายในปี 2567 การร่างสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (legally binding) มุ่งเน้นแนวทางการจัดการพลาสติกที่ครอบคลุมและตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่การควบคุมปริมาณการผลิตพลาสติก มาตรการกำกับการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียว สารเคมีและสารเติมแต่งที่น่าห่วงกังวล การขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (just transition) และกลไกการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม โดยจุดมุ่งหมายหลักคือการยุติปัญหามลพิษพลาสติกที่ไร้พรมแดน
 


อย่างไรก็ตาม  ขั้นตอนจนกว่าการจัดทำสนธิสัญญาจะแล้วเสร็จนั้น คณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาล (INC) จะต้องเจรจาผ่านการประชุม 5 รอบ โดยผลการประชุมครั้งที่ 2 (INC-2) ได้มีการปล่อยร่างเอกสารฉบับแรกออกมา (Zero Draft) และในการประชุมครั้งที่ 3 (INC-3) ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเดือนธันวาคม 2566 ได้มีการเผยแพร่ร่างสนธิสัญญาฉบับแรก ที่เป็นฉบับปรับปรุง (Revised Zero Draft) ซึ่งเป็นร่างที่น่าจับตามองเนื่องจากเป็นร่างที่จะถูกนำมาเจรจาในการประชุมครั้งที่ 4 (INC-4) ที่เมืองออตตาว่า ประเทศแคนาดา ในระหว่างวันที่ 23-29 เมษายน 2567  ซึ่งจะเป็นการเจรจาก่อนการเจรจารอบสุดท้าย (INC-5) ที่มีความสำคัญและเป็นที่คาดหวังว่าเอกสารร่างสนธิสัญญาจะต้องแล้วเสร็จและจะกลายเป็นร่างฉบับแรก (First Draft)


 

 


องค์กรภาคประชาสังคม 3 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) กรีนพีซ ประเทศไทย (Greenpeace Thailand) และมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) เล็งเห็นถึงความสำคัญของมาตรการทางกฎหมายฉบับนี้ จึงร่วมจัดงาน “สนธิสัญญาพลาสติกโลก สู่การยุติมลพิษพลาสติก สำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และเพื่อประกาศจุดยืนให้มาตราการทางกฎหมายฉบับนี้ทะเยอทะยาน คำนึงถึงสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมายสูงสุด และเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติมลพิษพลาสติกเพื่อโลกที่ยั่งยืน สะอาด และเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาล 175 ประเทศทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทย สร้างสนธิสัญญาพลาสติกที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยต้องมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน มีกรอบเวลาชัดเจน มีกลไกการเงิน ดังนี้
 


1. ลดการผลิตพลาสติกอย่างจริงจัง ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้ 
2. กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
3. กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซม ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน 
4. กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติกและค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม 
5. กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารเคมีและมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ
6. กำหนดให้มีมาตรฐานสากลในการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้ว ที่ให้ความสำคัญกับการลดพลาสติกแต่ต้นทาง การห้ามเผาขยะพลาสติก การกำหนดมาตรฐานการจัดการขยะที่เข้มงวด รวมไปถึงการรีไซเคิลและการผลิตพลังงาน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
7. ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก การขยายโรงไฟฟ้าขยะ และพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น
8. ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษ อันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา 
9. กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก
10. กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึง ชุมชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงานและแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
 

 

 


“การยุติมลพิษพลาสติกเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รอไม่ได้ เพราะพลาสติกส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกรวน และสุขภาพของมนุษย์ทุกคนมากขึ้นทุกวันตามปริมาณ โดยเฉพาะกลุ่มคนอัตลักษณ์ชายขอบ ปัจจุบันแม้ปัญหาจะได้รับการพูดถึง แต่การแก้ปัญหาอย่างจริงจังจากต้นเหตุยังขาดเจตจำนงทางการเมือง สนธิสัญญาฉบับนี้จึงสำคัญมากที่จะทำให้รัฐบาลทั่วโลกต้องหันมาแก้ไขมลพิษพลาสติกจากต้นตอ ลดการผลิตและยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็นและมากเกินควร อย่างมีประสิทธิภาพ ทะเยอทะยาน แต่ยุติธรรม  และมีกรอบเวลาแล้วเสร็จที่ชัดเจน” ศลิษา ไตรพิพิธสิริวัฒน์ นักรณรงค์อาวุโส/ผู้จัดการโครงการพลาสติกภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ Environmental Justice Foundation 

 


 


“เราต้องการสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่เข้มแข็ง และมุ่งไปที่การลดการผลิตพลาสติกอย่างน้อย 75% ภายในปี 2583 เพื่อให้เรายังคงอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส 
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการต่อกรกับปัญหามลพิษพลาสติกในเวทีเจรจาที่กำลังจะมีขึ้น โดยการให้คำมั่นต่อการปกป้องสิ่งแวดล้อมและกลุ่มเปราะบางโดยยึดโยงกับหลักการสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังสามารถเริ่มกำหนดนโยบายที่จะช่วยลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งในประเทศได้ โดยกำหนดให้มีการพัฒนาและบังคับใช้กฎหมายการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) ที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตพลาสติกตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การกระจายสินค้า การรับคืน การสร้างระบบใช้ซ้ำ รวมไปถึงรับผิดชอบต่อผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม” พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทยกล่าว
 

 

 


“มลพิษพลาสติกเป็นปัญหาที่กว้างใหญ่และซับซ้อนมากกว่าปัญหาขยะพลาสติก โดยที่มลพิษพลาสติกส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและก่อพิษภัยต่อสุขภาพได้ลึกซึ้งและร้ายแรงกว่ามากนัก ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนและสิ่งแวดล้อมในหลายพื้นที่ นอกจากนั้นยังเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของผลิตภัณฑ์และขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มักมีพลาสติกซึ่งมีการใช้สารเติมแต่งชนิดต่างๆ ปะปนอยู่ด้วย สารเติมแต่งเหล่านั้นเมื่อผ่านกระบวนการผลิต หรือบำบัดหรือย่อยสลาย จะปลดปล่อยสารมลพิษที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสภาพแวดล้อมของโลกใบนี้ รวมถึงสรรพชีวิตบนโลกด้วย” เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศกล่าว