เพจ "หยุดถ่านหินสงขลา" เผย 10 เหตุผลชวนคนไทยต้าน รฟฟ.เทพา ชี้พามลพิษ-ความแตกแยกสู่ชุมชน (30 พ.ย. 60)

มติชนออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2560
เพจ ‘หยุดถ่านหินสงขลา’ เผย 10 เหตุผลชวนคนไทยต้านรฟฟ.เทพา ชี้พามลพิษ-ความแตกแยกสู่ชุมชน

เมื่อวันที่  30 พ.ย. เพจ ‘หยุดถ่านหินสงขลา’ ได้เผยแพร่ข้อเขียนมีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุผล 10 ประการที่คนไทยทั้งประเทศต้องร่วมกันหยุดโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ข้อความทั้งหมดมีดังนี้

โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ขนาด 2,200 เมากาวัตต์ ตั้งบนเนื้อที่ 2,960 ไร่ ริมทะเลตำบลปากบาง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ใช้ถ่านหินที่อ้างว่าสะอาด จากอินโดนีเซีย ต้องเผาถ่านหินถึงวันละ 23 ล้านกิโลกรัม หรือกว่า 1,000 รถบรรทุกต่อวัน ซึ่งจะสร้างหายนะอย่างกู่ไม่กลับ

ต่อไปนี้คือ 10 เหตุผล ที่คนไทยทั้งประเทศต้องร่วมกันหยุดโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา

1. ถ่านหินที่โฆษณาชวนเชื่อว่าสะอาดนั้น ไม่มีจริง มีโลหะหนักปะปนมาด้วยจำนวนมาก ในแต่ละปี ถ่านหินที่นำเข้าจะปนเปื้อนปรอท 4,200 kg, แคดเมียม 8,400 kg, สารหนู 75,000 kg และตะกั่ว 168,000 kg สุขภาพของคนเทพา หาดใหญ่ สงขลา ปัตตานี จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นมะเร็งและโรคเรื้อรังต่างๆจากสารพิษที่รับเข้าไปจำนวนน้อยๆแต่นานๆต่อเนื่องเป็นสิบปี

2. มีการเผาถ่านหินมากถึงวันละ 23 ล้านกิโลกรัมตลอด 24 ชั่วโมง ปล่อยควันออกทางปล่องที่สูง 200 เมตร (สูงเท่าตึก 65 ชั้น) มลพิษทางอากาศทั้งควันที่มองเห็นและสารพิษที่มองไม่เห็นจะกระจายกว้างมาถึงทั้งหาดใหญ่ สงขลาและปัตตานี แต่การศึกษาผลกระทบนั้นกลับทำเพียง 5 กิโลเมตร

3. ปลาในทะเลสงขลา-ปัตตานี จะกินไม่ได้ เพราะจะปนเปื้อนโลหะหนักและสารพิษมากมายที่ยากจะตรวจวัด แม้จะไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่การกินอาหารที่ปนเปื้อนยาวนานเป็นสิบปี ย่อมส่งผลเสียและเป็นโรคมะเร็ง กุ้งเลี้ยงในบ่อกุ้งที่เทพา-หนองจิกจะปนเปื้อนส่งออกไม่ได้ เศรษฐกิจชุมชนจะแย่ลง

4. ประมงพื้นบ้านบ้านปากบางและใกล้เคียง ที่มีเรือประมงพื้นบ้านกว่า 300 ลำ จะทยอยล่มสลาย เพราะมีสัตว์ทะเลให้จับน้อยลง จากเรือขนส่งถ่านหินลำใหญ่ที่เข้าออกวันละ 4 เที่ยว จากการนำน้ำทะเลมาบำบัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์และหล่อเย็นถึงวันละ 9 ล้านคิว (เท่ากับใช้น้ำทะเลในพื้นที่กว้าง 1 กิโลเมตร ยาว 9 กิโลเมตร และลึก 1 เมตร) และการปล่อยน้ำหล่อเย็นที่ร้อนจัดกลับออกสู่ทะเล

5. หายนะจากบ่อเก็บขี้เถ้าถ่านหินขนาดกว่าพันไร่ แม้ปูด้วยแผ่นพลาสติกหนาไม่ให้น้ำซึมลงดิน แต่มรสุมและพายุฝนตกหนัก อาจทำให้บ่อเก็บเถ้าเกิดน้ำล้น เถ้าถ่านหินที่เต็มไปด้วยโลหะหนักและความสกปรกถูกชะลงสู่ผืนดิน แหล่งน้ำและท้องทะเล ทรายและท้องทะเลจะเป็นสีดำเหมือนที่มาบตาพุด และบ่อเก็บเถ้าจะอยู่อีกเป็นพันหมื่นปี แม้ว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอายุใช้งาน 40 ปีจะปิดตัวลงไปแล้วก็ตาม

6. สะพานท่าเรือขนถ่ายถ่านหินที่ยื่นไปในทะเลถึง 3 กิโลเมตร และเขื่อนกั้นน้ำทะเลเพื่อดูดน้ำทะเลมาหล่อเย็นในโครงการที่ทิ้งหินยื่นไปในทะเลยาว 500 เมตร จะทำให้เกิดการกัดเซาะชายหาดเทพาที่สวยงามอย่างรุนแรง เมื่อกัดเซาะก็ต้องทำกำแพงทิ้งหิน ใน 10 ปี หาดทรายขาวสะอาดและรีสอร์ทเรียงรายจะกลายเป็นกำแพงทิ้งหินหลายสิบกิโลเมตรตั้งแต่ปากน้ำเทพาจนถึงปากน้ำสะกอม

7. ป่าชายเลนแห่งคลองตุหยงจะเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นป่าชายเลนขนาดใหญ่ที่สุดเนื้อที่หลายร้อยไร่ และสมบูรณ์ที่สุดแปลงหนึ่งของสงขลา-ปัตตานี เป็นแหล่งเพาะฟักตัวอ่อนตามธรรมชาติที่สำคัญยิ่ง ตั้งอยู่ด้านข้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ย่อมจะได้รับผลกระทบในระยะยาว

8. ในพื้นที่โครงการ ต้องย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่กว่า 100 ครัวเรือน ต้องย้าย 2 มัสยิด 2 กุโบว์(สุสาน) และ 1 โรงเรียนปอเน๊าะ ซึ่งยังไม่นับชุมชนรอบข้างที่อาจต้องย้ายในอนาคตเพราะทนมลพิษไม่ไหว คนจนต้องเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ นับเป็นความจริงที่เจ็บปวดเสมอของสังคมไทย

9. ความแห้งแล้งและภาวะโลกร้อนจะรุนแรงขึ้น ที่โรงไฟฟ้าจะนะที่ชาวบ้านพูดชัดว่า “สวนยางแถวนั้นมีปริมาณน้ำยางลดลง” จากคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซร้อนจำนวนมหาศาล ในขณะที่ทั่วโลกเน้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และลมที่ไม่ก่อโลกร้อน แต่ประเทศไทยยังยืนยันจะเผาถ่านหิน

10. คนเทพาบอกชัดเจนว่า ลำพังเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ก็ทำให้เขามีความทุกข์และเหนื่อยใจมากพอแล้ว ทำไมต้องเอามลพิษ เอาโครงการที่สร้างความแตกแยกให้ชุมชนมาลงที่นี่อีก ถ้าถ่านหินสะอาดจริง ทำไมไม่เอาไปไว้ที่กรุงเทพ เมืองฟ้าอมรที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่าจังหวัดใดๆ