"กรีนพีซ" โต้ คชก.เห็นชอบ EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ร้องบิ๊กตู่สั่งยุติทันที (20 ส.ค. 60)

MGR Online 20 สิงหาคม 2560
กรีนพีซออกโต้ คชก.เห็นชอบ EHIA โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ร้อง “บิ๊กตู่” สั่งยุติทันที


ภาพจากกรีนพีช

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - กรีนพีซ ออกแถลงการณ์กรณีคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) เห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา เรียกร้องให้ “บิ๊กตู่” สั่งยุติโครงการในทันที พร้อมทบทวนการวางแผนพลังงานของประเทศ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียน
       
       วันนี้ (20 ส.ค.) จากการที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) เห็นชอบรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลา ในการประชุมที่เร่งด่วน ปิดลับ และปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ในวันที่ 17 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา น.ส.จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า
       
       เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงวิกฤตความชอบธรรมของระบบ และกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ที่ถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจตัดสินใจที่มีโจทย์อยู่แล้วว่า จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้ได้ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า สิ่งที่ชัดเจน คือ แม้ว่า คชก.จะเห็นชอบผ่านรายงาน EHIA โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ไปสู่การพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
       
       แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความบกพร่องในรายงาน EHIA จะถูกแก้ไขหมดแล้ว ซ้ำร้ายการประทับตราเห็นชอบต่อรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ต่ำเกินจริงของ คชก. นั้นไม่มีภาระรับผิดใดๆ ต่อการให้ความเห็นชอบรายงาน EHIA แม้ว่าจะยังมีข้อมูลที่ผิดพลาด ไม่ครบถ้วน บกพร่อง และไม่คำนึงถึงศักยภาพพื้นที่ที่สอดคล้องต่อวิถีการดำรงชีวิต ลักษณะเฉพาะทางสังคมวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น และความเปราะบางของระบบนิเวศชายฝั่งและทะเล ตลอดจนทรัพยากรประมงที่จำเป็นต้องปกปักรักษาไว้
       
       “คชก. ยังไม่ต้องรับผิดชอบต่อการไม่กำกับ ดูแล ติดตาม และเฝ้าระวังผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ต้องรับผิดชอบกับการที่หน่วยงานรัฐ และเจ้าของโครงการไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใดทั้งสิ้น” น.ส.จริยา เสนพงศ์ กล่าว
       
       ผลการคำนวณแบบจำลองบรรยากาศ (Atmospheric Modeling) ที่ดำเนินการโดยทีมวิจัย Atmospheric Chemistry Modeling ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่าแบบจำลองการเคลื่อนที่ของเคมีในบรรยากาศ (Atmospheric chemistry-transport model- GEOS-Chem) ระบุว่า หากมีการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ผลกระทบด้านสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 จะเกิดขึ้นในบริเวณทิศตะวันตกของพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง อันเป็นผลมาจากลักษณะการกระจายตัวของ PM 2.5 ที่จะครอบคลุมทั่วคาบสมุทร 
       
       โดยเฉพาะพื้นที่ฝั่งตะวันตก จะได้รับผลกระทบในวันที่ไม่ค่อยมีลม ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน เมื่อลมประจำทิศพัดจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงที่สภาวะอากาศย่ำแย่ อัตราการปล่อย PM 2.5 จะสูงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายปี แบบจำลอง GEOS-Chem ยังได้ประมาณว่า หากมีการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาจะมีการตกสะสมของเถ้าถ่านหิน (เถ้าลอย) ในอากาศ ลงในพื้นที่ในราว 10-20 กิโลกรัมต่อตารางกิโลเมตร และการตกสะสมของฝนกรดในพื้นที่ราว 50 กิโลกรัมต่อตารางกิโลเมตร
       
       การปล่อยมลพิษทางอากาศจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพายังมีผลต่อคุณภาพอากาศในทางตอนเหนือ ของเกาะสุมาตรา ของอินโดนีเซีย และตอนเหนือของมาเลเซีย และก่อให้เกิดผลกระทบด้านสุขภาพ ข้ามพรมแดนประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และหากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา มีการดำเนินการ โดยมีอายุการใช้งาน 40 ปี อัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มะเร็งปอด หลอดลมและท่อลม รวมถึงโรคทางเดินหายใจ และหัวใจเรื้อรังอื่นๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่ในราว 4,420 ราย
       
       “การที่ คชก. ให้ความเห็นชอบต่อรายงาน EHIA ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา ก็เท่ากับเป็นใบเบิกทางให้แก่อุตสาหกรรมถ่านหินในการก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อม กรีนพีซ ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ตัดสินใจยุติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาในทันที และทบทวนกระบวนการวางแผนพลังงานของประเทศ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์ที่สะอาด ยั่งยืน และเป็นธรรม อันเป็นเจตนารมณ์หลักตามพันธกรณีที่ประเทศไทยให้คำมั่นในความตกลงปารีส และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการดำเนินมาตรการในข้อ 8 (Article 8) ของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท” น.ส.จริยา เสนพงศ์ กล่าวปิดท้าย
       
        หมายเหตุ :
        1.www.greenpeace.or.th/Thailand-human-cost-of-coal-power/th.pdf
        2.www.un.or.th/globalgoals/th/the-goals 
        3.www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/pm25-sdgs/blog/59868
        4.http://oic.mnre.go.th/download/pdf/chem4-text.pdf 
       
       มาตรการในข้อ 8 (Article 8) ของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สืบเนื่องจากการที่ประเทศไทยลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท (Minamata Convention on Mercury) เป็นอันดับที่ 66 ของโลก และเป็นประเทศแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาคีอนุสัญญาได้ยอมรับร่วมกันว่า ปรอทเป็นสารเคมีที่ทั่วโลกมีความกังวลเนื่องจากปรอท สามารถเคลื่อนย้ายได้ไกลในชั้นบรรยากาศ ปรอทตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม จากกิจกรรมของมนุษย์ ปรอทมีความสามารถในการสะสมในสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ และปรอทส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ
       
       อนึ่ง เป็นที่รับรู้กันดีว่า ปรอทที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศนั้นเป็นองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) โดยอนุสัญญาข้อนี้มุ่งเน้นถึงการควบคุมและลดการปล่อย (emission) ปรอทออกสู่บรรยากาศจากแหล่งกำเนิดที่มีจุดกำเนิดแน่นอน (point sources) ตามรายการที่ระบุไว้ในภาคผนวก D (Annex D) ของอนุสัญญาฯ รวมถึงโรงไฟฟ้าถ่านหิน