คุยกับ "เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง" ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กับวิกฤตสารพิษในประเทศไทย (29 ต.ค. 56)
Green News TV 29 ตุลาคม 2556
คุยกับ "เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง" ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กับวิกฤตสารพิษในประเทศไทย
ตลอด 4 ปีที่ผ่านมามูลนิธิบูรณะนิเวศจะนำผลสารตะกั่วในสีทาอาคารและเลือดเด็กที่ เก็บรวบรวมมาทั้งปี ประกาศสู่สาธารณชนในช่วงสัปดาห์ป้องกันภัยสารพิษตะกั่วโลก และทุกครั้งจะนำผลมาพูดคุยหาทางออกร่วมกันกับนักวิชาการ หน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการผลิตสี และภาคประชาสังคม
แต่ดูเหมือนว่าบทเรียนที่มีมาตลอด 4 ปี ยังไม่ถูกนำมาใช้ เพราะผลในปีนี้ยังพบว่ามีสารตะกั่วเกินมาตรฐานสากล 100 ppm กว่า 79 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าบางยี่ห้อที่มีฉลากระบุว่า “ไม่ผสมสารตะกั่ว” แต่กลับมีตัวเลขสูงถึง 60,000 ppm
สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม GreennewsTV ร่วมพูดคุยกับ “เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง” ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ที่สะท้อนปรากฏการณ์สารพิษในไทยตลอดการทำงานของมูลนิธิมาจนถึงปัจจุบัน ที่แน่นอนว่าไม่ใช่มีปัญหาแค่เพียงผลิตภัณฑ์จากสี พร้อมตอกย้ำให้เห็นช่องโหว่สำคัญของวิกฤตครั้งนี้ที่มาจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ ภาครัฐ และผู้บริโภค
——————————————————————————————-
ปกติมูลนิธิบูรณะนิเวศมีบทบาทและมีวัตถุประสงค์การติดตามมลพิษจาก อุตสาหกรรม แล้วก็จะมีการติดตามเรื่องสารพิษจากสิ่งแวดล้อมเนื่องมาจากอุตสาหกรรม หรือการทำเหมืองแร่ในหลายๆ พื้นที่อย่างเช่น ในกรณีของพื้นที่มาบตาพุด เราเคยมีการศึกษาเรื่องของการปนเปื้อนของสารอินทรีย์ระเหยง่าย สาร BOC ในอากาศ ซึ่งมาบตาพุดจะมีเรื่องอากาศมีกลิ่นเหม็นมาก และทางชุมชนก็จะมีความวิตกกังวลว่ากลิ่นเหม็นนั้นมีอันตรายต่อสุขภาพมั้ย ซึ่งต่อมาเมื่อ พ.ศ.2546 ไล่มาจนถึง 2550 เรามีการเก็บตัวอย่างในพื้นที่มาบตาพุดมาตรวจ และก็เจอสารอินทรีย์ระเหยง่ายที่มีผลกระทบต่อสุขภาพหลายตัวทีเดียว
นอกจากนี้เราก็มีการศึกษาการปนเปื้อนของสารพิษจากการเผาขยะ ซึ่งเราก็ทำเมื่อประมาณปี 2550 -2551 เรื่องของการปนเปื้อนโดยเฉพาะสารตะกั่วจากการเผาขยะอุตสาหกรรม หรือว่าการเผาขยะจำพวกขยะอันตรายขยะอิเลกโทรนิกส์ ซึ่งตอนนั้นเราก็เจอว่าดินที่อยู่บริเวณรอบ ๆ การเผาขยะมีการปนเปื้อนของสารตะกั่วถึง 70,000 ppm ซึ่งสูงมากและก็มีผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อมในแถบนั้นที่ ต.โคกสะอาด จ.กาฬสินธิ์ ซึ่งหลังจากที่เรามีการศึกษาและเผยแพร่รายงานออกไป ทางหน่วยงานสาธารณสุขก็ลงไปศึกษาติดตามเพิ่มเติม ถึงการปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของเด็กในพื้นที่แถบนั้น ก็เจอว่าเด็กใน ต.โคกสะอาด อ.คล้องชัย ก็จะมีภาวะเรื่องโลหิตจางสูงมาก อันนี้ก็จะสอดคล้องกับผลการศึกษาของเราที่พบว่ามันมีสารโลหะหนัก อย่างเช่น ตะกั่ว ในสิ่งแวดล้อมสูง และเด็กรอบพื้นที่ก็จะได้รับผลกระทบ
นอกจากนั้นเรามีการศึกษาเรื่องของสารปรอทในครีมทาหน้าขาวพวก whitening cream ก็เจอหลายยี่ห้อ เนื่องจากว่าใน whitening cream ที่เราใช้กันอยู่มีการจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดเมืองไทยมีสารปรอทสูงเกินมาตตร ฐานที่ควรจะมี ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นอันตรายต่อบรรดาสตรีทั้งหลายที่ใช้ครีมทาหน้า
ส่วนในเรื่องของสี อันนี้เราเป็นการวิเคราะห์ครั้งที่ 4 และปีหน้าเราก็จะทำอีกและก็จะมีการผลักดันให้สำเร็จไปในทางนโยบาย ว่ามีมาตรฐานการบังคับที่เข้มงวดขึ้น ที่ทาง ผอ.ของสมอ.เขาก็ได้แจ้งไว้ในที่ประชุม
หลัก ๆ ที่เราติดตามเราจะติดตามจากโรงงานอุตสาหกรรม คือประเทศไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดใหญ่ อยู่ประมาณ 130,000 กว่าโรงทั่วประเทศ เขตพัฒนาอุตสาหกรรมเขตใหญ่ที่สุดและมีมลพิษรุนแรงที่สุดจะอยู่ที่พื้นที่ภาค ตะวันออก คือจ.ระยอง ไล่มาจ.ชลบุรี และก็ฉะเชิงเทรา ซึ่งจ.ระยองนี่ถือว่าเป็นอันตรายที่สุดและเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนา อุตสาหกรรมอย่างยิ่ง มีมลพิษรุนแรงเข้มข้นสูงมาก และก็เป็นจังหวัดที่มีการผลิตและการเก็บสารเคมีอันตรายสูงที่สุดของประเทศ รวมถึงมีการขนส่งสูงที่สุดทั้งทางรถยนต์และทางน้ำ
จริง ๆ ต้องบอกว่าพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง คือพื้นที่หลักที่เราติดตามอยู่ และก็เมื่อปลายปีที่แล้ว ก็เริ่มมีการศึกษาเรื่องของการปนเปื้อนสารปรอทในผลิตภัณฑ์ปลา ในเนื้อปลาช่อน และในเส้นผมของคน ซึ่งชุมชนในแถบนั้นจะอยู่ใกล้กับเขตประกอบอุตสาหกรรม 304 ซึ่งมีโรงงานผลิตเยื่อกระดาษหลายโรงด้วยกัน แล้วก็มีโรงไฟฟ้าถ่านหินอยู่ประมาณ 5 โรง ซึ่งปกติในกระบวนการเผาไหม้ของโรงไฟฟ้าถ่านหินเนี่ย ก็จะมีการปนเปื้อนสารปรอทอยู่ในขี้เถ้าในอากาศ และก็ในน้ำเสีย ซึ่งผลการศึกษาของเราที่ตรวจในปลา และก็เส้นผมคนที่อยู่ในพื้นที่แถบนั้นก็มีปรอทสูง
และก็หลังจากการคัดค้านผลสารปรอทในปลาในเส้นผมคน ทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมก็ได้เข้ามาตรวจวัด คุณภาพน้ำ ขี้เถ้า ฝุ่น ดิน และหลังจากนั้นก็มีการตรวจปลา คือตรวจปลากรมควบคุมมลพิษก็ตรวจ กรมประมงก็ตรวจ กรมควบคุมโรงก็ตรวจ ทั้งหมดได้เข้าไปตรวจพื้นที่ ต.ท่าตูม จ.ปราจีนบุรี ในที่อยู่รอบๆ เขตประกอบการ 304 และหลังจากนั้นก็มีการตั้งคณะกรรมการไตรภาคีขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาสารปนเปื้อนสารปรอทในสิ่งแวดล้อมของพื้นที่แถบนั้น
เรามีปัญหาเรื่องการทิ้งขยะออกมาจากโรงงานเยอะมากในหลายพื้นที่ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขจริงจังก็ยังคงมีปัญหาอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นในงานนึงเรื่องการปนเปื้อนสารพิษในสิ่งแวดล้อมที่มันใกล้กับตัว เรามากเลย เพราะบางทีมันก็ลงไปแหล่งน้ำใต้ดินซึ่งเป็นแหล่งน้ำดีกันที่ชาวบ้านต้องใช้ ทั้งใช้ดื่มกิน และใช้ในการอาบน้ำซักผ้า มีหลายจุดที่แหล่งน้ำใต้ดินปนเปื้อนสารพิษเยอะ มาบตาพุดแหล่งใหญ่ ชลบุรี ฉะเชิงเทราก็มีเยอะ และก็มีภาคเหนือที่ลำพูนใกล้ๆ นิคมอุตสาหกรรมก็มีเยอะ อีสานก็เยอะ
อันนี้เป็นผลมาจากที่ประเทศเราปล่อยให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยไม่มีการ ควบคุมมลพิษที่ออกสู่สิ่งแวดล้อม เสร็จแล้วมลพิษเหล่านั้นก็มีผลกระทบต่อชุมชม เพราะฉะนั้นชาวบ้านเหล่านี้ก็จะมีที่เจ็บป่วยเป็นโรคจากมลพิษเยอะทีเดียว
ส่วนของสารตะกั่วที่เรานำเสนอในวันนี้เนี่ยก็จะเป็นเรื่องของสารพิษใน ผลิตภัณฑ์ เป็นผลิตภัณฑ์สี แต่ว่าในที่จริงแล้วเนี่ยยังมีเรื่องของสารตะกั่วที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อย่าง เช่นของเล่นเด็ก ต่อไปเราอาจจะมีการวัดสารตะกั่วในของเล่นเด็ก ซึ่งอันนี้ก็จะอันตรายกับเด็กโดยตรง อันนี้ก็จะเป็นแนวทางนึง และก็เป็นความสนใจนึงที่เราอยากจะศึกษาต่อ
เพราะฉะนั้นเราก็จะดูรวมๆ แล้วเนี่ยมันก็จะมีทั้งสารพิษที่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากปัญหา มลพิษอุตสาหกรรม และก็สารพิษที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ อันนี้ก็ถือว่าเป็นวัตถุดิบที่ผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งทั้งสองอย่างมันใกล้เคียงกับผู้บริโภคทั้งนั้น และก็มีผลกระทบต่อสุขภาพของคนทั้งนั้น
จริงๆ ต้องยอมรับว่าการติดตามปัญหาโรงงานอุตสาหกรรมเป็นงานที่ค่อนข้างยาก เพราะมันก็ต้องอาศัยอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่สำคัญก็คือบ้านเรามีกฎหมายบางอย่าง แต่กฎหมายเหล่านี้ไม่ถูกบังคับใช้ อย่างกฎหมายสิ่งแวดล้อมของเราก็จะมีมาตรานึงที่พูดถึงเรื่องผู้ก่อมลพิษต้อง เป็นผู้รับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ว่ามาตรานี้ไม่มีการบังคับใช้เลยโดยหน่วยงานรัฐ เพราะฉะนั้นเราจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่ปนเปื้อนมลพิษในประเทศไทยอีกมากที่ไม่ ได้รับการแก้ไขให้มีมาตรการเยียวยาฟื้นฟู หรือเอาผิดกับผู้กระทำผิด ซึ่งหมายถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยมลพิษออกมา
ต้องบอกว่าปัญหาที่รุนแรงมากขึ้นในบ้านเราไม่ว่าในเรื่องของสิ่งแวดล้อม หรือว่าผลิตภัณฑ์ พื้นฐานเลยก็มาจากความไม่รับผิดชอบของผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใดก็ตาม จริง ๆ กฎหมายบางอย่างบ้านเรามีไว้ค่อนข้างดีอยู่ที่ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเปล่า
ซึ่งการปฏิบัติตามกฎหมายที่จะควบคุมการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือการลดโลหะหนักบางตัวในผลิตภัณฑ์ เป็นสิ่งที่อาจจะต้องเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปในกระบวนการผลิต หรือในกระบวนการจัดการสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ ที่นี้ผู้ประกอบการมองว่าการที่จะต้องมาควบคุมจะทำให้ผลกำไรเขาลดน้อยลง แต่ก็ไม่ได้ว่าระยะยาวเขาเอง ลูกหลานของเขาเองก็ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน เพราะฉะนั้นผลกระทบเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็วมันจะสะท้อนกลับไปที่เขา เองเหมือนกันนะค่ะ และก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเองเสียหาย เพราะฉะนั้นในความรับผิดชอบต่อผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นผผู้ประกอบการบรรษัท ข้ามชาติ หรือเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศเอง ความรับผิดชอบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือว่าต่อสุขภาพของคนมีน้อยมาก
ถ้าในส่วนของหน่วยงานรัฐเราเห็นว่า หน่วยงานรัฐเองควรมีการปรับปรุงกฎหมายบางอย่าง ให้ครอบคลุมและมีความเข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัว พรบ.ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ซึ่งก็มีช่องโหว่อยู่เยอะที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไข พรบ.โรงงาน 2535 ก็ควรต้องมีการปรับปรุงแก้ไข พรบ.วัตถุอันตราย 2535 ก็จะมีหลายอย่างที่ควรปรับปรุงแก้ไข
ในขณะเดียวกันบ้านเราก็ควรมีกฎหมายบางอย่างเพิ่มเติมอย่างเช่น ก็มีกฎหมายที่กำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษต้องไปหา ข้อมูลว่าถ้าปล่อยมลพิษอะไรออกมาต่อสิ่งแวดล้อม ในปริมาณเท่าไหร่ต่อปี แล้วข้อมูลเหล่านี้เนี่ยจำเป็นต้องมีการเปิดเผยออกไปให้สาธารณะเข้าถึงได้ การให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ ถ้ามองในภาพรวมจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย เพราะว่าถ้าประชาชนมีความตื่นตัว สังคมจะมีการขยับและทุก ๆ ส่วนจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น
ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็อยากให้ลดความโลภลง และก็มีความรับผิดชอบต่อสังคมต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ส่วนของชุมชนหรือประชาชนทั่วไปจะเห็นว่าชุมชนหลายพื้นที่ออกมาต่อสู้ เขาก็ลำบากอยู่แล้ว คือชุมชนเกษตรหลายพื้นที่ปกติก็จะมีอาชีพการเกษตร แต่เมื่อแหล่งน้ำเสียหาย อากาศแย่ หรือว่าดินปนเปื้อนสารพิษพื้นที่เกษตรจะเป็นพื้นที่แรก ๆเลยที่จะได้รับผลกระทบ ก็ทำให้เขาไม่สามารถทำการผลิตได้เหมือนเดิม ผลิตผลที่เกิดขึ้นก็จะไม่ได้รับความปลอดภัย ยกตัวอย่างเช่น ข้าวที่ผลิตมาจากพื้นที่ที่ อ.แม่ตาว ที่มีการปนเปื้อนแคตเมียน ข้าวเหล่านั้นก็ขายไม่ได้ กินไม่ได้ ก็ต้องทำลายทิ้ง
อันนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความไม่รับผิดชอบต่อผู้ประกอบการเหมืองแร่ ของผู้ลงทุน ก็กระทบมาจนถึงชุมชนเกษตร และก็มาถึงผู้บริโภคอีกทีนึง มันก็จะก่อความเสียหายทุกระดับ เพราะฉะนั้นในส่วนชุมชนการรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับปัญหาเพื่อให้มีการแก้ไข จากหน่วยงานรัฐ และให้มีความรับผิดชอบจากผู้ประกอบการเป็นเรื่องที่ชุมชนต้องทำ ถือว่าเป็นภาระเพิ่มเติมให้กับเขา
แต่ว่าในส่วนของเราเราเห็นว่าผู้บริโภคในเมืองเองควรจะต้องให้การสนับ สนุนช่วยเหลือ และก็ศึกษาข้อมูล และก็พยายามช่วยกันผลักดันให้ประเทศไทยมีนโยบาย ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวดขึ้น ซึ่งพลังจากผู้บริโภคเป็นพลังที่สำคัญ
ประเทศไทยพยายามส่งเสริม นโยบายอุตสาหกรรม และการขยายอุตสาหกรรมมักจะกระจายอุตสาหกรรมไปยังท้องที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคนั่นเท่ากับเป็นการกระจายมลพิษให้มันถ้วนทั่วกัน การพัฒนาอุตสาหกรรมมันเป็นเรื่องจำเป็นต่อการส่งเสริมเศรษฐกิจ และต่อการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีผลิตภัณฑ์ใช้กัน แต่ว่าการส่งเสริมอุตสาหกรรมต้องควบคู่มากับการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด ด้วย โดยเฉพาะกฎหมายที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม และกฎหมายที่กำหนดให้มีการลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมที่อันตรายที่สุดจะมีอยู่ 2-3อย่าง มีอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งบ้านเรากำลังส่งเสริมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนานใหญ่ กลุ่มอุตสาหกรรมปตท. และกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจปิโตรเคมีกำลังขยายในพื้นที่มาบตาพุด ซึ่งอันตรายมาก และยังไม่มีแนวโน้มให้เห็นชัดเจนว่าจะมีการควบคุมและการเติบโตในแนวที่พอ เหมาะพอควรกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
อุตสาหกรรมปิโตรเลียมมีการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งอันนี้ก็เป็นกลุ่มที่อันตรายมากและยังมีการสนับสนุนสร้างโรงไฟฟ้าถ่าน หินอุตสาหกรรมปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เหล่านี้มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อรุนแรงมาก เพราะเป็นอุตสาหกรรมยุคขาลงหรือเป็นอุตสาหรรมสกปรก ที่ประเทศอุตสาหกรรมมีการควบคุมการขยายตัวที่จะก่อมลพิษรุนแรง และก่อโลกร้อนด้วย แต่ประเทศไทยยังอยู่ในยุคส่งเสริม ส่งเสริมทั้งหมดเลย ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว
อุตสาหกรรมอีก2-3กลุ่มที่อันตราย ก็จะมีอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิกส์ต้นน้ำ ก็จะเป็นอุตสาหกรรมสกปรกที่จะมีอันตรายต่อสุขภาพคนไทยเยอะมาก เพราะโดยเฉพาะโรคพิษอลูมินั่ม และอุตสาหกรรมกระดาษและอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ ซึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยส่งเสริมหมดเลย และตั้งอยู่ในพื้นที่เกษตรทั้งนั้น หรือไม่ก็กลางริมแม่น้ำและชายฝั่งทะเลซึ่งพื้นที่เหล่านี้มีความอ่อนไหวทาง ระบบนิเวศ และเป็นพื้นที่ที่สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับบ้านเรา พื้นที่เหล่านี้กำลังประสบอันตรายอยู่
อันนี้ต้องเป็นสิ่งที่เดินคู่กัน แต่บ้านเรามันโตขาเดียวไงค่ะ โตขาเดียวในแง่ที่ว่าพยายามส่งเสริมการลงทุน แต่ว่าไม่ส่งเสริมเรื่องการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กันไปอันนี้เป็นเหตุผล สำคัญให้ปัญหามลพิษบ้านเรารุนแรงมากขึ้น หรือว่าผลิตภัณฑ์ที่อันตรายต่าง ๆ ก็มาจากหน่วยงานรัฐดูแลไม่ทั่วถึงหรือไม่ให้ความสำคัญการตรวจสอบ อันนี้ก็ทำให้เราคิดว่าประเทศไทยยังอยู่ในยุคขาขึ้นของอุตสาหกรรม จำเป็นอย่างมากที่ต้องเดินคู่ขนานกับกฎหมายที่เข้มงวดขึ้น
และผู้ประกอบการเองก็ควรจะตระหนักว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมมันไม่มีพรมแดน มันไม่มีขอบเขต เพราะฉะนั้นถ้าเขาทำลายสิ่งแวดล้อมเนี่ย วันนึงมันก็สะท้อนมาสู่เขาแน่นอน…
ขอบคุณภาพประกอบจาก “มูลนิธิบูรณะนิเวศ”