"กรมมลพิษ" โยนหิน "น้ำมันยูโร 5" - โรงกลั่นค้าน ลงทุนหนัก 8 หมื่นล. (17 ก.พ. 60)

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 17 กุมภาพันธ์ 2560
กรมมลพิษโยนหิน"น้ำมันยูโร5" โรงกลั่นค้านลงทุนหนัก8หมื่นล.

กรมควบคุมมลพิษ ดันน้ำมัน มาตรฐานยูโร 5 เรียกโรงกลั่นหารือจี้ให้ลงทุนปรับปรุง ด้านโรงกลั่นชี้ยูโร 5 ใช้เงินลงทุนสูง 6 โรงต้องใช้เงินถึง 84,000 ล้านบาท หวั่นไม่คุ้มค่าลงทุนซ้ำรอยยูโร 4 ปูดผู้ใช้น้ำมันต้องรับภาระเพิ่ม 1 บาท/ลิตร ขณะที่ "ไทยออยล์" ตั้งเป้าเป็นโรงกลั่นแรกที่ผลิตน้ำมันยูโร 5

ปัจจุบันโรงกลั่นน้ำมันในประเทศทุกโรงต้องผลิตน้ำมันภายใต้ "มาตรฐานยูโร 4" ตามนโยบายของกรมควบคุมมลพิษ ที่ต้องการลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยในทางเทคนิคน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 จะมีค่ากำมะถันไม่เกิน 50 PPM

ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านยังคงใช้มาตรฐานยูโร 2 ค่ากำมะถัน 200 PPM แต่ล่าสุด กรมควบคุมลพิษเตรียมที่จะปรับมาตรฐานน้ำมันใหม่อีกครั้ง โดยกำหนดให้โรงกลั่นทุกโรงต้องผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 หรือ น้ำมันที่มีค่ากำมะถันได้ไม่เกิน 10 PPM และเมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมควบคุมมลพิษ ได้เรียกบรรดาโรงกลั่นน้ำมันเข้ามาหารืออย่างเป็นทางการแล้ว

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมนี้ได้เรียกกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและผู้ผลิตรถยนต์ เข้ามารับทราบนโยบายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากไอเสียของรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ โดยเสนอให้โรงกลั่นน้ำมันทุกแห่งต้องปรับปรุงน้ำมันให้ได้มาตรฐานยูโร 5 ปรากฏ ข้อเสนอดังกล่าวยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้คือ

1)โรงกลั่นมองว่า การปรับปรุงมาตรฐานน้ำมันเป็นยูโร 5 ในช่วงนี้ยังไม่เหมาะสม 2)รถยนต์ในปัจจุบันรองรับน้ำมันยูโร 5 ได้หรือไม่ และ 3)ระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันเตรียมความพร้อม จากปัจจุบันที่ในประเทศแถบยุโรปต่างกำหนดมาตรฐานน้ำมันเป็นยูโร 5 หมดแล้ว

ดังนั้นเมื่อพิจารณาประเด็นสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก อุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันในประเทศไทยควรปรับปรุงน้ำมันให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 เช่นกัน

"เรายังต้องมีการหารือร่วมกับเอกชนอีกหลายครั้ง ต้องดูก่อนว่า ทั้งโรงกลั่นน้ำมันและค่ายรถยนต์จะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเท่าที่หารือส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่ละโรงกลั่นต่างก็มีศักยภาพในการลงทุนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามกรมควบคุมฯมองว่า ถ้าปรับปรุงมาตรฐานเป็นยูโร 5 ได้ก็จะเกิดผลดีต่อภาพรวมของประเทศอย่างมาก" นายจตุพรกล่าว

โรงกลั่นค้านไม่คุ้มลงทุน

ด้านแหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่กล่าวภายหลังจากร่วมหารือกับกรมควบคุมมลพิษเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำมันมาตรฐานยูโร5ว่า เท่าที่ฟังมายังมีหลายอีกประเด็นที่ยังไม่มีความชัดเจนคือ 1)เหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องการให้ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันที่แท้จริง เนื่องจากทางกรมควบคุมฯให้ข้อมูลว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจค่อนข้างมาก แต่กลับไม่มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจน 2)ไม่มีการยืนยันจากผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศว่า รถยนต์ในปัจจุบันสามารถใช้น้ำมันยูโร 5 ได้หรือไม่

3)ต้นทุนการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะบริหารจัดการอย่างไร และ 4)ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับนั้น "คุ้มค่าการลงทุนหรือไม่" เนื่องจากเมื่อประเมินการลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ/โรง หรือ 14,000 ล้านบาท/โรง ดังนั้นโรงกลั่นในประเทศที่มีอยู่ 6 โรงเท่ากับว่า จะต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 84,000 ล้านบาท

"กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันได้ลงทุนปรับปรุงน้ำมันให้ได้มาตรฐานยูโร 4 ยังไม่ถึง 10 ปีเลย มาตอนนี้ภาครัฐก็จะให้ปรับเป็นยูโร 5 อีกแล้ว ทุกคนพร้อมจะปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐ เพียงแต่ต้องชัดเจนใน 4 ประเด็นข้างต้นก่อนและต้องถามผู้ใช้น้ำมันด้วยว่า สามารถแบกรับต้นทุนราคาน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นจากการปรับมาตรฐานเป็นน้ำมันยูโร 5 ได้หรือไม่ด้วย"

ผู้ใช้รับภาระเพิ่มกว่า 1 บาท

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบการลงทุนระหว่างน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 กับยูโร 5 แล้วคาดว่า การลงทุนสำหรับน้ำมันยูโร 5 "จะต้องลงทุนสูงกว่าประมาณร้อยละ 10-20" เนื่องจากทางเทคนิคจะต้องติดตั้งระบบเพิ่มความดัน อุปกรณ์สำหรับควบคุมอุณหภูมิ และระบบอื่น ๆ เพื่อให้น้ำมันภายใต้มาตรฐานดังกล่าว สามารถลดค่ากำมะถันให้เหลือเพียง 10 PPM ในขณะที่น้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ปล่อยค่ากำมะถันอยู่ที่ 50 PPM

แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนหลังในช่วงที่โรงกลั่นต้องปรับปรุงน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 นั้น มีการศึกษาต้นทุนราคาน้ำมันโดยสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) พบว่า ต้นทุนน้ำมันเบนซินปรับขึ้น 1.20 บาท/ลิตร ในขณะที่ต้นทุนน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1 บาท/ลิตร

ดังนั้นแนวโน้มต้นทุนของราคาน้ำมันภายใต้มาตรฐานยูโร 5 ที่ประชาชนต้องรับภาระคาดว่า จะอยู่ที่ประมาณ 1 บาทกว่า/ลิตรเช่นกัน

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาการใช้น้ำมันของประเทศเพื่อนบ้านยังพบว่า ส่วนใหญ่ยังคงใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 2 (ค่ากำมะถันไม่เกิน 500 PPM) ภาครัฐต้องพิจารณาประเด็นของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วยว่า ในแง่ของการแข่งขันและโอกาสทางธุรกิจด้านของอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันจะไม่สามารถขยายตลาดไปยังเพื่อนบ้านได้

"ผมว่าภาครัฐควรพิจารณาผลกระทบให้ครบทุกมิติด้วยก่อนจะตัดสินใจลงไป"แหล่งข่าวกล่าว

ไทยออยล์จ่อผลิตยูโร5รายแรก

ด้านนายอธิคมเติบศิริประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า ไทยออยล์ได้เตรียมที่จะลงทุนในโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ หรือ CFP (Clean Fuel Project) ใช้เงินลงทุน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ100,000 ล้านบาท โดยโครงการนี้นอกจากจะเพิ่มกำลังการกลั่นจาก 245,000 บาร์เรล/วันเป็น 400,000 บาร์เรล/วันแล้ว ยังทำให้ไทยออยล์กลายเป็นโรงกลั่นน้ำมันโรงแรกในไทยที่สามารถผลิตน้ำมันภายใต้มาตรฐานยูโร 5 ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ CFP ยังช่วยลดการผลิตน้ำมันราคาถูกอย่างเช่น น้ำมันเตา จากเดิมที่มีอยู่ในระบบร้อยละ 7 ให้เป็นศูนย์ และเพิ่มการผลิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน (Jet) ที่คาดว่า จะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 10 ปีต่อจากนี้ โดยภายในไตรมาส 2 จะสามารถสรุปภาพรวมการลงทุนในโครงการ CFP เพื่อนำเสนอ คณะกรรมการบริหารหรือบอร์ดไทยออยล์ เพื่ออนุมัติต่อไป หลังจากนั้นอาจจะมีการเปิดประมูลได้ในช่วงปลายปีนี้และคาดว่า โครงการจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2564

ทั้งนี้หากโรงกลั่นน้ำมันลงทุนเฉพาะเพื่อรองรับมาตรฐานยูโร 5 "อาจจะไม่คุ้มค่าการลงทุน" เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงระดับ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นในปัจจุบัน "จะยังไม่พร้อมที่จะลงทุน" ที่สำคัญต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะต้องนำมาบวกรวมอยู่ในราคาน้ำมันที่ผู้บริโภคจะต้องจ่าย ฉะนั้นหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องถามประชาชนด้วยว่า จะรับภาระราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นได้หรือไม่

"ตอนลงทุนไปกับยูโร 4 โรงกลั่นก็พอมีมาร์จินอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่ได้ลงทุนไป สำหรับการลงทุนในโครงการ CFP ของไทยออยล์นั้น เราใช้เงินมากอยู่แล้ว ทำให้ยูโร 5 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการ จึงไม่ได้ประเมินเฉพาะโครงการนี้ว่า ลงทุนเท่าไหร่ แต่ในระยะยาวโครงการนี้จะช่วยให้ไทยออยล์ลดต้นทุนการผลิตลงได้ถึง 3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งยังไม่นับรวมตัวที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้โปรดักต์อีก"

เบนซ์-บีเอ็มยันใช้ยูโร 5 ได้

แหล่งข่าวจากบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้น สามารถรองรับน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ได้ สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จำกัด ที่ระบุรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยหรือนำเข้าจากต่างประเทศนั้น เป็นเครื่องยนต์ที่รองรับน้ำมันได้ทั้งมาตรฐานยูโร 4 ไปจนถึงยูโร 5 โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แน่นอน