จีนยกทัพบุก "เชียงของ" แจงระเบิดแก่งโขง - "ครูตี๋" ยื่นคำขาด ถ้าไม่หยุดชาวบ้านพร้อมสู้ (24 ธ.ค. 59)
Green News TV 24 ธันวาคม 2559
‘จีน’ ยกทัพบุก ‘เชียงของ’ แจงระเบิดแก่งโขง ‘ครูตี๋’ ยื่นคำขาด ถ้าไม่หยุดชาวบ้านพร้อมสู้
เจ้าของสัมปทานระเบิดเกาะแก่งแม่น้ำโขง ยกคณะเคลียร์ใจกลุ่มรักษ์เชียงของ แจงรายละเอียดยิบ “ครูตี๋” ถามกลับนอกจากผลประโยชน์จีน ชาวบ้านได้อะไร เชื่อสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ถ้าจีนยอมลดกำไร-เหลือแม่น้ำโขงให้คนเล็กคนน้อยทำกิน ยืนยันไม่ว่าท่าทีรัฐบาลไทยเป็นอย่างไร แต่ชาวบ้านพร้อมพิทักษ์ภูมิลำเนา
นายหลิว ลีหัว รองประธานบริษัท CCCC Second Habor Consultant เจ้าของสัมปทานโครงการปรับปรุงร่องน้ำเพื่อการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พร้อมคณะรวม 5 ราย เดินทางมายัง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2559 เพื่อพูดคุยกับ นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว หรือ ครูตี๋ ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ โดยตัวแทนบริษัทฯ ได้ชี้แจงการดำเนินโครงการสำรวจและระเบิดแก่งในแม่น้ำโขง โดยมีตัวแทนกรมเจ้าท่า 5 คน ร่วมสังเกตการณ์
นายหลิว กล่าวว่า เมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา ได้เป็นผู้จัดการโครงการและเป็นผู้ออกแบบโครงการปรับปรุงร่องน้ำในเฟส 1 และเมื่อต้นปี 2559 บริษัทฯ ชนะการประมูลโครงการฯ เฟส 2 โดยได้รับงบประมาณเพื่อออกแบบ สำรวจ และจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESIA) ซึ่งเป็นการดำเนินการในขั้นแรก (preliminary work)
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวทราบข่าวว่าประชาชนในท้องถิ่นของประเทศไทยมีความกังวลต่อการดำเนินโครงการ จึงตัดสินใจเดินทางมาจากประเทศจีนเพื่อนำเสนอข้อมูลและรับฟังข้อเสนอแนะจากกลุ่มรักษ์เชียงของ
“โครงการนี้เป็นของ 4 ประเทศ ประกอบด้วยจีน ลาว ไทย และพม่า ซึ่งบริษัทมีหน้าที่ดำเนินการตามแผนหลักที่ 4 ประเทศวางแผนไว้ โดยงานเริ่มในเดือน เม.ย.2559 และในเดือน ส.ค.2559 ได้เริ่มดำเนินการสำรวจในพื้นที่จีน พม่า และลาว ยกเว้นเพียงพรมแดนไทย-ลาว เนื่องจากรัฐบาลไทยไม่อนุญาตให้สำรวจ”นายหลิว กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้แบ่งการสำรวจออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.พรมแดนจีน-พม่า-ลาว บริเวณเหนือ อ.เชียงแสน ซึ่งดำเนินการแล้ว 2.บริเวณพรมแดนไทย-ลาว ยังไม่ได้ดำเนินการ และ 3.อาณาเขตประเทศลาวไปจนถึงหลวงพระบาง ซึ่งดำเนินการไปแล้วเช่นกัน
“ในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เราได้เช่าเรือท้องถิ่น 3 ลำ ล่องไปตอนล่างเพื่อสำรวจในลาว การทำงานตอนนี้เป็นไปได้ด้วยดีเพราะได้รับการสนับสนุนจาก 3 ประเทศ ยกเว้นไทย เรือเราทั้งหมด มีผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่น และมีเจ้าหน้าที่กระทรวงคมนาคมประเทศลาว” นายหลิวกล่าว
ด้านนายนิวัฒน์ กล่าวว่า ขอบคุณคณะนายหลิวที่มาอธิบายและส่วนตัวก็เข้าใจเรื่องผลประโยชน์ที่ประเทศจีนจะได้รับ แต่คำถามซึ่งถือเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือแล้วคนท้องถิ่นจะได้อะไร เพราะทั้งหมดที่พูดมาเป็นประโยชน์ของจีนทั้งสิ้น และหากบริษัทฯ ระเบิดแก่งเอาหินผาออกจากแม่น้ำโขง คำถามต่อมาก็คืออะไรจะเกิดขึ้นกับแม่น้ำโขงบ้าง
“ท่านบอกแค่เป็นตอนๆ ไม่ให้เห็นทั้งหมด สิ่งที่อยากฝากไปถึงรัฐบาลท่านคือที่ท่านทำมาไม่เคารพคนท้องถิ่นเลย เราไม่ได้ต่อต้านการเดินเรือค้าขาย แต่เราต่อต้านการค้าขายที่ไม่เป็นธรรมคือคนท้องถิ่นไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่สำคัญคือชาวบ้านเห็นคุณค่าของระบบนิเวศและมีงานวิจัยของตัวเอง ฉะนั้นใครจะได้หรือเสียประโยชน์ชาวบ้านมีความเข้าใจร่วมกันอยู่”นายนิวัฒน์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีหนทางที่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ คือสิ่งไหนที่เลี่ยงไม่ต้องทำลายก็ควรจะรักษาเอาไว้ ธรรมชาติมีมูลค่าและคือคุณค่าของคนท้องถิ่น เพราะเชียงของคือเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม-ธรรมชาติ ฉะนั้นการระเบิดเกาะแก่งจากด้านบนลงมาถึงหลวงพระบางเท่ากับเป็นการทำลายระบบนิเวศหรือฆ่าแม่น้ำโขงที่ทุกคนต้องพึ่งพา
“ถ้าจะคิดใหญ่อย่างเดียวคือจะระเบิดเพื่อเปิดทางให้เรือใหญ่ คนเล็กคนน้อยก็ต้องตายหมด ฉะนั้นรัฐบาลจีนควรปรับเปลี่ยนวิธีคิด คือปรับเปลี่ยนว่าปริมาณน้ำขนาดนี้ควรใช้เรือแบบไหนหรือใช้อย่างไรให้สอดรับกับธรรมชาติ โดยปัจจุบันประเทศจีนค้าขายด้วยถนนเส้นทาง R3A อย่างเต็มที่ ซึ่งเราก็ไม่ว่า แต่ควรเหลือแม่น้ำโขงเอาไว้ให้คนท้องถิ่นหากินด้วย ยืนยันว่าถึงแม้รัฐบาลไทยจะมีมติอย่างไร หากโครงการเดินหน้า ชาวบ้านในท้องถิ่นจะลุกขึ้นมาปกป้องบ้านเมืองของตัวเองอย่างแน่นอน”นายนิวัฒน์ กล่าว
นายนิวัฒน์ กล่าวอีกว่า คาดว่าหลังจากนี้ทางชาวบ้านจะมีหนังสือถึงบริษัทฯ เพื่ออธิบายในรายละเอียดว่าคิดอย่างไร สุดท้ายขอขอบคุณ แต่ที่สุดแล้วเราก็ต้องเข้าใจร่วมกันเพราะเราเป็นมนุษย์ร่วมกัน หากจีนลดกำไรลงสักหน่อย ชาวบ้านก็อยู่ด้วยกันได้อย่างเป็นมิตรภาพ
อนึ่ง เส้นทางเดินเรือแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง มีความยาว 890 กิโลเมตร จากซือเหมา มณฑลยูนนาน ลงมาถึงหลวงพระบาง โดยในเฟส 1 สามารถเดินเรือพาณิชย์เรือระวางน้ำหนัก 150 ตัน ลงมาถึง อ.เชียงแสน แต่จาก อ.เชียงแสน ลงไปถึงหลวงพระบาง ต้องใช้เรือขนาด 60 ตัน เนื่องจากยังไม่มีการปรับปรุงร่องน้ำในบริเวณดังกล่าว