ผู้ว่าฯ นัดพรุ่งนี้ หารือเอาผิดต้นเหตุทำน้ำเสีย ปลากระเบนตาย 46 ตัว (22 ต.ค. 59)
มติชนออนไลน์ 22 ตุลาคม 2559
ผู้ว่าฯนัดพรุ่งนี้ หารือเอาผิดต้นเหตุทำน้ำเสีย ปลากระเบนตาย 46 ตัว
คืบหน้าปลากระเบนตายจังหวัดเรียกประชุมหารือถึงการดำเนินการกับผู้กระทำผิดพรุ่งนี้
วันนี้ (22 ต.ค.) ร.ท.พัชโรดม อุนสุวรรณ ประธานชมรมอนุรักษ์ปลากระเบนจังหวัดสมุทรสงครามกล่าวว่าจากกรณีที่กรมควบคุมมลพิษ(คพ.)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)เผยผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ำจากหลายหน่วยงาน พบว่าปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลองตายเพราะน้ำกากส่า โรงงานเอทานอลราชบุรีรั่วไหล พบสารแอมโนเนียสูงเกิน 18 เท่า ในส่วนของชมรมอนุรักษ์ปลากระเบนราหูจังหวัดสมุทรสงคราม ไม่ใช่นิติบุคคล จึงไม่สามารถดำเนินการฟ้องเรียกร้องความเสียหายกับผู้ก่อเหตุได้ จึงต้องหวังพึ่งกลไกภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้ปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลองตายและพบซากปลากระเบนที่ตายถึง 46 ตัว อีกทั้งสภาพแวดล้อมในแม่น้ำแม่กลองที่เสียหายประเมินค่าไม่ได้ ยังส่งผลกระทบต่อหอยหลอดตายจำนวนมาก รวมถึงปลากะพงที่ชาวประมงเลี้ยงในกระชังตายจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเพื่อความชัดเจน นายคันฉัตร ตันเสถียร ผู้ว่าราชการจังหวัด(ผวจ.)สมุทรสงคราม จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ในวันที่ 23 ต.ค.2559 เวลา 11.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม
นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเมื่อส่วนราชการพิสูจน์จนพบผู้กระทำผิดแล้ว ก็ต้องมีหน้าที่ที่ต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมในแม่น้ำแม่กลองเสียหาย จนปลากระเบนราหูตายเป็นจำนวนมาก ส่วนประเด็นปลากะพงที่เลี้ยงในกระชังตายเป็นจำนวนมากนั้นผู้ประกอบการคงจะหารือกันอีกครั้งถึงการเรียกร้องความเสียหายจากผู้กระทำผิดต่อไป
นายอุทัย สิงโตทองประมงจังหวัดสมุทรสงครามกล่าวว่าในส่วนของพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 มาตรา 58 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ (4) ทำให้ที่จับสัตว์น้ำเกิดมลพิษในลักษณะที่เป็นอันตรายแก่สัตว์น้ำ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงห้าแสนบาท และมาตรา 59 ผู้ใดโดยเจตนาหรือประมาททำให้ที่จับสัตว์น้ำเกิดมลพิษในลักษณะที่เป็นอันตรายแก่สัตว์น้ำ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งปวงในการช่วยเหลือหรือป้องกันชีวิตสัตว์น้ำและทำให้ที่จับสัตว์น้ำฟื้นฟูกลับสู่สภาพตามธรรมชาติ ทั้งนี้ตามที่อธิบดีกรมประมงกำหนด ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงห้าแสนบาท