ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ร้องโรงถลุงเหล็กเครือสหวิริยา (3 ก.พ. 58)
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 3 กุมภาพันธ์ 2558
ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ร้องโรงถลุงเหล็กเครือสหวิริยา
เมื่อ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงข่าวว่า ในวันเดียวกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนคดี กรณีที่มีกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ได้กล่าวหาร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงงานถลุงเหล็กของบริษัท เครือสหวิริยา จำกัด ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากกระบวนการผลิตและปัญหาจากการถม พื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงงานในบริเวณป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึงในท้องที่ ตำบลแม่รำพึงอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงแห่งสุดท้ายของอำเภอบางสะพาน และเป็นที่รองรับน้ำที่ลงสู่ป่าพรุและคลองแม่รำพึงก่อนระบายลงสู่ทะเล ซึ่งป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึงนี้ ตามสภาพไม่เคยมีร่องรอยการทำประโยชน์มาก่อนเพื่อที่ราษฎรใช้ประโยชน์เป็น แหล่งหากินกับป่าพรุมาตั้งแต่เกิดจึงเห็นว่า การออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณดังกล่าวจึงน่าจะเป็นการออกโดยมิชอบด้วย ระเบียบและกฎหมาย จึงได้ร้องเรียนมายังคณะกรรมการ ป.ป.ช.กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมที่ดิน ให้ตรวจสอบว่าการออกเอกสารสิทธิที่ดินตั้งแต่ปี 2530 ในบริเวณป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึง ในท้องที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังกล่าวชอบด้วยระเบียบและกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
นายสรรเสริญ กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยลงไปตรวจสอบสภาพพื้นที่จริง และให้ผู้เชี่ยวชาญของศาลในทางวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ ทำการอ่านแปลตีความและวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศแล้ว รวมทั้งนำผลการตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน และ หน่วยป้องกันรักษาป่าพบว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีสภาพพื้นที่เป็นป่าพรุที่มีคุณค่าทางระบบนิเวศ และก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำ และจากข้อสันนิษฐานทางธรณีวิทยาพบว่าป่าพรุแห่งนี้น่าจะมีอายุประมาณ 100 ปี มีพันธุ์ไม้หลายชนิดขึ้นอยู่ และยังพบว่ามีสัตว์อาศัยอยู่หลายชนิดบางชนิดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์และบาง ชนิดพบได้เฉพาะในบริเวณระบบนิเวศของป่าพรุเท่านั้นซึ่งเป็นที่ที่ชาวบ้าน เข้าไปหาของป่าและใช้ประโยชน์จากป่า จึงถือได้ว่าป่าพรุดังกล่าวนี้เป็นที่ดินของรัฐ อันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน จากผลการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน 22 แปลง พบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จำนวน 11 แปลง เป็นเอกสารสิทธิที่เป็น น.ส.3 และ น.ส.3ก. เพราะเป็นการออกในที่ป่าพรุน้ำเค็มป่าคลองแม่รำพึง ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่มีสภาพการทำประโยชน์มาก่อน จึงเป็นที่ดินที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิให้ผู้ใดได้ ที่ดินบริเวณดังกล่าวนี้ ได้ข้อมูลว่าปัจจุบันบริษัท ประจวบพัฒนา ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท เครือสหวิริยา จำกัด ซึ่งได้กว้านซื้อที่ดินบริเวณนี้เพื่อขยายโรงงานถลุงเหล็ก แต่ชาวบ้านผู้เดือดร้อนได้รวมตัวกันประท้วงต่อต้านมิให้ก่อสร้างโรงงาน เนื่องจากหากอนุญาตให้ก่อสร้างจะต้องมีการถมดินสูงกว่าระดับเดิมประมาณ 12 เมตร จะเป็นเหตุให้น้ำท่วมบริเวณใกล้เคียงเกือบทั้งอำเภอบางสะพาน และยังพบข้อมูลอีกว่าบริษัทดังกล่าว ยังมีความพยายาม ที่จะยึดเอาที่ดินป่าพรุบริเวณนี้และใกล้เคียงเพื่อใช้ประโยชน์ด้วยวิธีการ นำเข้าร่วมโครงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมแต่ไม่สำเร็จเนื่องจากการนิคม อุตสาหกรรมได้มีมติให้ยกเลิกโครงการ ไปแล้ว
นายสรรเสริญ กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเอกสารสิทธิ น.ส.3 และ น.ส.3ก.จำนวน 11 แปลงดังกล่าว รวมเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ เป็นการออกโดยมิชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย จึงมีมติให้ส่งเรื่องให้กรมที่ดินเพื่อพิจารณาดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิ ดังกล่าว สำหรับในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิดังกล่าวได้ พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปแล้วเกินสิบปีก่อนที่จะมีผู้ร้องเรียน เพื่อให้คณะกรรมการป.ป.ช. รับเรื่องไว้ดำเนินการ และบางคนก็ถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงระงับไปคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจพิจารณาดำเนินการได้
นายสรรเสริญ กล่าวว่า โดยในการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีข้อตกลง หรือทำ MOU ไว้กับกรมที่ดินแล้ว ซึ่งจะได้ประสานกรมที่ดินเพื่อพิจารณาดำเนินการ ตาม MOU ต่อไป รวมทั้งมีมติให้แจ้งประสานงานกรมป่าไม้และองค์การบริหารส่วนตำบลแม่รำพึง เพื่อพิจารณาดำเนินการกับที่ดินดังกล่าว และ ผู้บุกรุกที่ดินของรัฐตามอำนาจหน้าที่ต่อไป