แถลงการณ์กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ (24 ก.ค. 59)
FTA Watch 24 กรกฎาคม 2559
แถลงการณ์กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
นี่คือภาพการจัดกิจกรรมไว้อาลัยรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 190 ที่ว่าด้วยการจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ ของกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2556 หลังจากที่รัฐสภาในขณะนั้นใช้เสียงข้างมากแก้ไขมาตรานี้ โดยตัดสาระสำคัญ 5 เรื่องออกไป คือ จำกัดประเภทหนังสือสัญญาที่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา, ตัดกระบวนการเสนอ “กรอบเจรจา” ต่อรัฐสภาก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญา, ตัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน, ตัดกระบวนการศึกษาวิจัยผลกระทบที่เป็นอิสระ และ ตัดกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล การมีส่วนร่วม ระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และภาคประชาชน ทั้งที่เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ปัญหาแท้จริงที่เกิดขึ้นในกระบวนการเจรจามีต้นเหตุมาจากการไม่ได้จัดทำกฎหมายลูกรองรับมาตรา 190 มิใช่เกิดจากตัวบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
แม้ว่าในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ว่า การแก้ไขมาตรา 190 ในขณะนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งในเชิงกระบวนการ และการตัดเนื้อหา ประเภทความตกลง การเสนอกรอบการเจรจา และการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ผ่านมาเพียง 2 ปีกว่า การตัดทอนเนื้อหาที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยชี้ชัดว่า เป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่เป็นวิถีทางรัฐธรรมนูญ กลับปรากฏอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะลงประชามติ วันที่ 7 ส.ค.นี้
ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ มาตรา 178 นั้น คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้ตัดทอนและปรับเปลี่ยนเนื้อหาบทบัญญัติของมาตรา 190 เดิม จนกระทบต่อหลักการสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. กัดกร่อนหลักธรรมาภิบาล : โดยการตัดข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงสาระสำคัญของหนังสือสัญญานั้นต่อรัฐสภาตั้งแต่ในขั้นการจัดทำกรอบการเจรจา ข้อบัญญัติที่เคยมีอยู่ดังกล่าว เป็นการสร้างความโปร่งใส สร้างกระบวนการมีส่วนร่วม และเป็นแนวทางป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการหนังสือสัญญา
2. ทำลายการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ : โดยตัดข้อบัญญัติที่ให้คณะรัฐมนตรีต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ ยิ่งไปกว่านั้น ในมาตรา 178 วรรคสองยังได้เพิ่มข้อกำหนดตอนท้ายว่า ในขั้นการพิจารณาเข้าร่วมผูกพันในหนังสือสัญญา หากรัฐสภาพิจารณาไม่เสร็จภายใน 60 วัน ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ ข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการทำลายหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติอย่างสิ้นเชิง
3. ลดอำนาจการต่อรองของฝ่ายบริหาร : การตัดข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการเจรจาจัดทำหนังสือสัญญาออกไป เป็นการลดทอนอำนาจการต่อรองของฝ่ายบริหารในการเจรจา ขั้นตอนดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติที่ประเทศต่างๆ ยึดถือปฏิบัติและอ้างอิงเพื่อสร้างและเพิ่มอำนาจต่อรองของฝ่ายบริหารในการเจรจา
4. จำกัดและลดความสำคัญของการสร้างประชาธิปไตยในเชิงเนื้อหา : โดยการตัดทอนข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่กำหนดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในกระบวนการเจรจาจัดทำหนังสือสัญญาซึ่งเป็นนโยบายสาธารณะที่มีความสำคัญในกระแสโลกาภิวัตน์ การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในกระบวนการจัดทำหนังสือที่ผ่านมาตามมาตรา 190 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทำให้การเจรจามีความรอบคอบ ช่วยตรวจสอบและรักษาผลประโยชน์สาธารณะ ตลอดจนเป็นกลไกที่ช่วยทำให้ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีคุณภาพและมีผลในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างประชาธิปไตยเชิงเนื้อหาที่แท้จริง
นอกจากหลักการทั้ง 4 ประการข้างต้นจะถูกบ่อนเซาะทำลายแล้ว ข้อบัญญัติในมาตรา 178 วรรคสามยังได้กำหนดขอบเขตของประเภทหนังสือสัญญาที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางไว้อย่างจำกัด ทำให้ขอบเขตการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ และพื้นที่ทางการเมืองของภาคประชาสังคมถูกจำกัดและหดแคบลงไปอีก
ยิ่งกว่านั้น ข้อบัญญัติในมาตรา 178 วรรคสี่ ได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของกฎหมายลูกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่กฎหมายที่จะมีสาระสำคัญเพื่อการกำหนดขั้นตอนและวิธีดำเนินการจัดทำหนังสือสัญญาที่มีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา มีความโปร่งใส ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงตามหลักธรรมาภิบาลตามที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 แต่กลายเป็นเพียงกฎหมายที่กำหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และได้รับการเยียวยาที่จำเป็นเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อพิจารณาร่วมกับมาตราอื่นๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการประกันสิทธิพื้นฐานของประชาชนโดยเฉพาะการเข้าถึงการรักษาและการคุ้มครองผู้บริโภค ยังพบว่า มีบทบัญญัติที่ล้าหลังอันเป็นการลดทอนสิทธิของประชาชน แต่มุ่งเน้นเพิ่มอำนาจรัฐลดอำนาจประชาชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการที่ไม่ดี ไม่สามารถให้ผลผลิตที่ดีได้
ด้วยเหตุผลและข้อวิเคราะห์ดังกล่าว กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) จึงขอประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ และพร้อมที่จะจัดเวทีหรือเข้าร่วมเวทีถกแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้สังคมได้รับรู้ข้อมูล ข้อวิเคราะห์ และความเห็นต่างอย่างรอบด้าน อันเป็นสิทธิพื้นฐานทางการเมืองอันชอบธรรมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
24 ก.ค.59
(นส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานเอฟทีเอ ว็อทช์ ผู้อ่านแถลงการณ์ ในงานประชามติประชาชน ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)