ทช.ลุยบ่อกุ้งกระบี่ทุนนักการเมืองใหญ่ ประเดิมตรวจ 200 ไร่ มีเอกสารเพียง 42 ไร่ (28 มิ.ย. 59)

Green News TV 28 มิถุนายน 2559
ทช.ลุยบ่อกุ้งกระบี่ทุนนักการเมืองใหญ่ ประเดิมตรวจ 200 ไร่ มีเอกสารเพียง 42 ไร่

เจ้าหน้าที่ ทช. กว่า 200 นาย ลุยตรวจสอบบ่อกุ้ง จ.กระบี่ รุกล้ำป่าชายเลน รองอธิบดีฯ ระบุ เป็นที่ดินของนักการเมืองระดับชาติ

เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ลงพื้นที่ จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2559 ตรวจสอบพฤติกรรมการบุกรุกป่าชายเลนของกลุ่มทุนเพื่อใช้ทำนากุ้ง ภายหลังพบว่ามีความเชื่อมโยงกับนักการเมืองระดับท้องถิ่น อดีต สส. และนักการเมืองระดับประเทศ ชื่อย่อ ส. ศ. และ พ.

นายศักดา วิเชียรศิลป์ รองอธิบดี ทช. กล่าวว่า ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายเพื่อตรวจสอบจำนวน 120 แปลง เนื้อที่รวม 10,868 ไร่ อย่างไรก็ตามระหว่างวันที่ 28-29 มิ.ย.นี้ จะดำเนินการ 30 แปลง รวม 2,561 ไร่

สำหรับการตรวจสอบ บริเวณ ม.4 ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่ ซึ่งเป็นบ่อเลี้ยงกุ้งขนาดใหญ่ เนื้อที่ 200 ไร่ พบเพียงคนดูแลบ่อซึ่งได้ชี้แจงว่ามีเอกสารสิทธิ์ เป็น สค.1 เนื้อที่ 16 ไร่ และโฉนดที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่ 16 ไร่ และ 10 ไร่ ส่วนที่เหลือไม่สามารถชี้แจงได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดพื้นที่

นายศักดา กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นของนักการเมืองระดับชาติ ที่ได้ซื้อต่อมาจากนายทุน โดยพบว่าเป็นป่าชายเลนที่ขึ้นทะเบียนเป็นป่าคุ้มครองเมื่อปี 2494 แต่ สค.1 ออกเมื่อปี 2498 ส่วนโฉนดออกเมื่อปี 2549

นอกจากนี้ จากการเดินสำรวจ พบว่าเอกสารสิทธิ์ทั้ง 2 เข้าข่ายออกโดยมิชอบ หลังจากนี้จะแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิกถอนต่อไป

อนึ่ง เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2559 นายศักดิ์ดา ได้เปิดแถลงข่าวการตรวจสอบ จ.กระบี่ โดยระบุว่า ในปี 2559 สามารถยึดคืนพื้นที่ป่าชายเลนซึ่งถูกบุกรุกในพื้นที่ จ.ภูเก็ต กระบี่ ตราด และ ระนอง ได้แล้ว 80% ส่วนใหญ่เป็นนากุ้ง ส่วนร้านอาหาร รีสอร์ท สนามกอล์ฟ มีบ้างแต่น้อย

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบพฤติกรรมการบุกรุกใน 2 ลักษณะ คือ 1.บุกรุกพื้นที่โดยไม่มีเอกสารสิทธิ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีการดำเนินคดีทันที 2.พื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิจะประสานไปยังกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยเพื่อตรวจสอบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิถูกต้องหรือไม่ หากผิดก็จะดำเนินการเพิกถอนต่อไป

อย่างไรก็ตาม จะมีการแจ้งความเพื่อเอาผิดกับผู้ที่บุกรุกทั้งทางแพ่งและทางอาญา ส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการต่อไป