ปธ.ชุมชนบ้านหนองแฟบร้องสื่อดันหน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ปัญหาสภาพแวดล้อม (20 มิ.ย. 59)
MGR Online 20 มิถุนายน 2559
ปธ.ชุมชนบ้านหนองแฟบร้องสื่อดันหน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ปัญหาสภาพแวดล้อม
ระยอง - ประธานชุมชนบ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด สุดทนหลังสภาพน้ำในคลองบางกะพรุน และพื้นที่ชายหาดสนกระซิบ แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่มาบตาพุด กำลังได้รับความเสียหาย ร้องสื่อเป็นกระบอกเสียงดันหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าแก้ไข
วันนี้ (20 มิ.ย.) นายอิทธิ แจ่มแจ้ง ประธานชุมชนบ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ดูสภาพน้ำในคลองบางกะพรุน ซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงขุ่น และเข้ม จนทำปลาตาย และชายหาดสนกระซิบ ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ถูกกัดเซาะจนต้นสนล้มระเนระนาด ขณะที่พื้นที่บริเวณชายหาดยังหายไปเกือบ 10 เมตร และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้หากยังไม่ได้รับการแก้ไข ชายหาดสนกระซิบอาจถูกกลืนหายไปจากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
โดย นายอิทธิ กล่าวว่า คลองบางกะพรุน มีต้นน้ำมาจากนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ซึ่งน้ำในคลองจะไหลลงสู่บริเวณปากคลองหน้าศาลเจ้าแม่ทับทิม ออกสู่ทะเล และเมื่อเร็วๆ นี้น้ำในคลองมีสีแดงขุ่นเข้ม จนทำให้มีปลาตาย ซึ่งชาวบ้านพากันสงสัยว่า เกิดจากอะไร เนื่องจากน้ำในคลองที่ไหลลงทะเลอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของสัตว์น้ำ
“ที่ผ่านมา ได้ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง เนื่องจากน้ำในคลองไหลผ่านโรงงานอุตสาหกรรมตลอดเวลา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า คุณภาพน้ำในคลองมีสารอันตรายเจือปนหรือไม่ และหากมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ชัดเจนก็น่าที่จะหาทางแก้ไขปัญหาได้”
นายอิทธิ ยังกล่าวอีกว่า ชายหาดสนกระซิบ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองมาบตาพุด แต่ปัจจุบันกลับมีสภาพชายหาดที่ถูกกัดเซาะเป็นระยะทางยาวหลายกิโลเมตร ทำให้ชายหาดบริเวณโคนต้นสนบางส่วนเริ่มหายไป หากปล่อยทิ้งไว้คาดว่าไม่เกินปีนี้ต้นสนอาจถูกกัดเซาะจนเสียหายทั้งหมด
ด้าน นายพิส ประจง ชาวบ้านหนองแฟบ กล่าวว่า ชายหาดสนกระซิบ เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีประชาชนนิยมมาเที่ยวในช่วงวันหยุด และก่อนหน้านี้ มีเรือเหล็กขนาดใหญ่เข้ามาจอดนานหลายปี ซึ่งภายหลังมีการตัดเหล็กจากเรือไปขายจนหมด ขณะที่สภาพชายหาดก็ถูกกัดเซาะ โดยเฉพาะบริเวณสวนสนตลอดแนวติดต่อหาดพยูน เขตเทศบาลตำบลบ้านฉาง และที่ผ่านมาเคยแจ้งเทศบาลเมืองมาบตาพุด ให้เข้ามาแก้ไข แต่กลับถูกอ้างว่าอยู่ในเขตเจ้าท่าภูมิภาค จึงวอนให้ผู้สื่อข่าวช่วยเป็นกระบอกเสียงในการผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง