ครม.สัญจรหว่านงบ 600 ล. เพื่อไทยทวงฐานที่มั่นฝั่ง "ตะวันออก" (2 เม.ย. 56)

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 2 เมษายน 2556
ครม.สัญจรหว่านงบ 600 ล. เพื่อไทยทวงฐานที่มั่นฝั่ง "ตะวันออก"

ถือว่าเดินมาถึงครึ่งทางได้สำเร็จ สำหรับแผนเดินสายทั่วประเทศ ภายใต้แนวคิด "ครม.สัญจร" 1 ปี 7 เดือน-ครึ่งชีวิตของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ได้นำพาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลงพื้นที่ทัวร์ทั่วประเทศไปแล้ว 9 กลุ่มจังหวัด จาก 18 กลุ่มจังหวัด โดยในวันที่ 30-31 มี.ค.นี้ บุกเจาะพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ตัวแทนกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง

โครงการ-เม็ดเงินที่อนุมัติจากการเดินทางครั้งนี้ ยังคงปักหมุดสุดท้ายเพื่อพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจฝั่งตะวันออก ให้เป็นหนึ่งในทางเลือกของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เตรียมแผนงาน 4 แผนงาน 14 เรื่อง เสนอขอรับกำลังสนับสนุนจากรัฐบาล แบ่งเป็นรายละเอียด ดังนี้

แผนงานการส่งเสริมการค้าและการลงทุน 4 เรื่อง ได้แก่ จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว โครงการ Eco Industrial Town จังหวัดสมุทรปราการ-ปราจีนบุรี โครงการย้ายตลาดสะพานปลาจากกรุงเทพฯสู่ปากน้ำสมุทรปราการ และการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย

แผนงานการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ 5 เรื่อง ได้แก่ พัฒนาโครงข่ายทางถนนสายหลัก 7 เส้นทาง เร่งรัดขยายถนนหนองชะอม-พนมสารคาม แผนการศึกษาการแก้ไขปัญหาการจราจรภาคตะวันออก แผนการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว และโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้า โมโนเรล จากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงก์ สุวรรณภูมิ

แผนงานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำมีเพียง 1 เรื่อง ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน บริเวณปากน้ำบางปะกง

แผนงานการส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ 4 เรื่อง ได้แก่ พัฒนาพื้นที่การท่องเที่ยวขุนด่านแลนด์ จังหวัดนครนายก พัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี โครงการแยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนระหว่างนักท่องเที่ยวกับด่านการค้า และพัฒนาเส้นทางช่องบะระแนะ หรือช่องตากิ่ว บริเวณพื้นที่ติดชายแดนประเทศกัมพูชา

นอกจากนั้นตามธรรมเนียม "ยิ่งลักษณ์สไตล์" ยังคงหนีไม่พ้นการอนุมัติ "เงินก้นถุง" เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ เฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท โดยกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลางเตรียมแผนงานรอรับงบประมาณรวม 19 โครงการ วงเงิน 642.6 ล้านบาท ดังนี้

โครงการกลุ่มจังหวัดภาคกลาง วงเงินรวม 110.52 ล้านบาท ได้แก่ จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัด 30 ล้านบาท จัดตั้งศูนย์เรียนรู้และแปรรูปปลาสลิด 23 ล้านบาท พัฒนาด่านชายแดนและปรับปรุงระบบการให้บริการประชาชน 37.5 ล้านบาท และพัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์และสุขภาพวิถีไทย 20.02 ล้านบาท

ส่วนงบฯรายจังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา วงเงินรวม 106 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเสริมประสิทธิภาพศูนย์กลางผลิตยานยนต์และอะไหล่รถยนต์ 44 ล้านบาท โครงการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ 50 ล้านบาท และการรักษาเสถียรภาพต้นทุนการผลิตไข่ไก่ 12 ล้านบาท

จังหวัดสมุทรปราการ วงเงินรวม 100 ล้านบาท ได้แก่ โครงการศูนย์แสดงสินค้า OTOP 70 ล้านบาท โครงการเสริมการท่องเที่ยวงานประเพณีรับบัว 15 ล้านบาท ปรับปรุงซ่อมเขื่อนกันตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา 15 ล้านบาท

จังหวัดนครนายก เสนอขอโครงการก่อสร้างสนามแข่งขันกีฬาแคนูสลาลอมระดับสากล บนพื้นที่ขุนด่านแลนด์ 107.73 ล้านบาท

จังหวัดสระแก้ว วงเงินรวม 104.79 ล้านบาท ได้แก่ จัดสร้างศูนย์กระจายสินค้าพืชพลังงาน 49.9 ล้านบาท ก่อสร้างตลาดกลางสินค้าเกษตร 25 ล้านบาท ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง 17.59 ล้านบาท ส่งเสริมการเลี้ยงโคเพื่อยกระดับรายได้ 12.3 ล้านบาท

จังหวัดปราจีนบุรี วงเงินรวม 113.56 ล้านบาท ได้แก่ สวนสุขภาพชุมชน 50 ล้านบาท พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม 20 ล้านบาท พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อภาคเกษตรกรรม 25.56 ล้านบาท ปรับปรุงคันกั้นน้ำท่าแห 18 ล้านบาท

นอกจากการกดปุ่มส่งเงินให้ทั้ง 5 จังหวัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังกำหนดภารกิจสำคัญสร้างแรงผลักดันด้านเศรษฐกิจ ฟื้นความเชื่อมั่นจากภาคเอกชน เป้าหมายถูกพุ่งเป้าถึงพื้นที่ตลาดโรงเกลือ เส้นทางรถไฟอรัญประเทศ-ปอยเปต และเยือนโรงงานผลิตรถยนต์โตโยต้าและยังแฝงนัยสำคัญทวงคืนความเชื่อมั่นจากฐานเสียงการเมืองกลุ่มโซนภาคตะวันออกอีกด้วย

เพราะรู้ดีว่าโซนภาคตะวันออกยังนับเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทยที่พ่ายแพ้เสียเก้าอี้ ส.ส.ให้กับคู่แข่งโดยเฉพาะจังหวัดฉะเชิงเทราที่เคยเป็นฐานที่มั่นกว่า 19 ปี ของ "บ้านฉายแสง" ตระกูลนักการเมืองที่ล้ม-ลุกมาหลายยุค หลายเหตุการณ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

เพียงแต่ ณ วินาทีนี้ ทั้ง จาตุรนต์-วุฒิพงศ์-ฐิติมา ฉายแสง ต่างมีสถานภาพแค่ "นักการเมือง" แต่ไร้บารมีจากสถานะ "ส.ส.-รัฐมนตรี" ที่รู้ดีว่าสามารถกุมเงิน ครองอำนาจลงพื้นที่ได้เฉียบคมกว่าหลายเท่า

จึงเป็นที่น่าสนใจว่าการเยือนโซนภาคตะวันออกครั้งนี้ของ"ยิ่งลักษณ์และคณะ" จะสามารถทวงคืนพื้นที่การเมืองได้ประสบผลสำเร็จหรือไม่...โปรดติดตาม !