มท.1 เผย "ปัญหาขยะ" เป็นวาระแห่งชาติ (11 ส.ค. 61)

สำนักข่าว TNN 11 สิงหาคม 2561
มท.1เผยปัญหาขยะเป็นวาระแห่งชาติ

มท.1 เผยปัญหาขยะวาระแห่งชาติแจงเหตุต้องสร้างโรงกำจัดขยะสร้างพลังงานไฟฟ้า ชี้ท้องถิ่นชงเรื่อง หลังจัดเก็บค่าขยะขาดทุนยับ ต้องควักภาษีจ่าย

วันนี้(11ส.ค.61)จากกรณีที่ถูกโจมตีว่ากระทรวงมหาดไทย รวบอำนาจ ดึงการแก้ไข ปัญหาขยะมาดูแล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  นำไปสู่ผลประโยชน์ ชี้แจงว่า เรื่องการรวบอำนาจ กรณีขยะถือเป็นปัญหาของประเทศชาติ ที่เป็นวาระแห่งชาติ เพราะขยะแต่ละปี เปิดประมาณ 27 ล้านตัน 1 ใน 3 ของจำนวนนี้ไม่ได้มีการดำเนินการตามหลักการกำจัดขยะ กลายเป็นขยะตกค้าง ขณะที่2ใน 3ยังดำเนินการไม่ถูกต้องหรือยังเป็นแนวทางกำจัดที่ไม่ดี อาจจะนำไปฝั่งกลบโดยไม่ถูกวิธี ถือเป็นปัญหาเพราะจะตกค้างสะสมไปเรื่อย และไม่มีพื้นที่เพียงพอ ในการเก็บขยะ ส่งให้เกิดปัญหาในอนาคต ดังนั้น ขยะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องกำจัดทุกวัน เพราะเกิดขึ้นทุกวัน 1 ปี /27ล้านตัน ถ้าตกค้างก็จะมีขยะเพิ่มขึ้นทุกปี 

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า โดยกฎหมาย  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น อบต. เทศบาล พัทยา จะเป็นผู้ดำเนินการกำจัดขยะ ไม่มีหน่วยงานใดทำได้ ซึ่งกฎหมายนี้ มีมานานแล้ว ตั้งแต่ตนเองเกิดมาก็พบว่าเทศบาลเป็นผู้เก็บขยะ ไม่ใช่เรื่องใหม่ จึงอยากเรียนประชาชนให้รับทราบว่า ท้องถิ่นจะเป็นผู้ดำเนินการเรื่องขยะ และท้องถิ่นจะถูกกำกับโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท้องถิ่นเป็นนิติบุคคล สามารถทำได้ตามภารกิจ ในสิ่งที่เห็นควรต้องทำ อย่างเช่นขยะถือเป็นอำนาจหน้าที่ที่ต้องทำ. โดยมีผู้บริหารท้องถิ่นและสภาท้องถิ่น รับผิดชอบ เพราะสองกลุ่มนี้จะเป็นผู้ให้บริการสาธารณะ ในนามนิติบุคคล  ดังนั้นกระทรวงมหาดไทย  ได้แต่กำกับดูแล ถ้าไม่ทำผิดกฎหมาย หรือกฎระเบียบ จะไปยุ่งกับเขาไม่ได้เพราะเขาเป็นผู้ทำ จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจ แต่การดำเนินการทุกอย่างผู้บริหารต้องขอ สภาท้องถิ่น และงบประมาณด้วย

‘นี้คือการกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกนำไปโจมตี ดังนั้นสรุปว่าขยะต้องกำจัด คนมีหน้าที่รับผิดชอบคือท้องถิ่น ทำในฐานะนิติบุคคล กระทรวงมหาดไทย ได้แต่กำกับ ซึ่งในวันนี้มีท้องถิ่นประมาณ 7,500 แห่ง ขณะที่กองขยะจากการสำรวจ พบว่ามี2,810  กอง ถ้าให้ทั้งหมดนี้ตั้งโรงกำจัดขยะทั้งหมด ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐบาล ไม่มีงบประมาณให้ ขณะเดียวกันขยะไม่พอเพียง ที่จะกำจัดให้เป็นพลังงาน ซึ่งจะต้องมี300ตันต่อวัน จึงจะทำได้ ดังนั้นท้องถิ่นเล็กๆต้องรวมกันเป็น กลุ่ม มหาดไทยจึงแบ่งเป็น 324 คัตเตอร์ โดยต้องการให้ทั้งหมดนี้กำจัดขยะให้ได้ โดยไม่มีขยะตกค้าง’พล.อ.อนุพงษ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อท้องถิ่นเก็บขยะมาแล้ว ก็ไม่มีเงินที่จะไปจ้างโรงกำจัดขยะ เนื่องจากมีราคาสูง จึงหันไปใช้วิธี ทิ้งหรือฝั่งกลบแบบเดิม ซึ่งมีราคาถูกกว่า  จึงกลายเป็นปัญหาประเทศชาติต่อไป ซึ่งเจตนารัฐบาลต้องการให้นำไปเผา ซึ่งทางออกที่พอลดค่าใช้ได้คือ ถ้าเผาแล้วเป็นพลังงานไฟฟ้า ขายไฟฟ้าได้ ค่ากำจัดขยะก็จะลดลง แต่การลงทุนสร้างโรงกำจัดขยะ ต้องร่วมทุนกับเอกชน เพราะรัฐบาลไม่มีเงินให้สร้างโรงเผาขยะ 300 โรงได้เพราะค่าใช้ลงทุนสร้าง โรงละประมาณพันล้านบาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ที่รัฐบาลจะหาเงินให้ท้องถิ่นได้ และท้องถิ่นเมื่อลงทุนแล้ว ผลกำไรไม่ได้ย้อนมาที่รัฐบาล ดังนั้นต้องลงทุนเอง

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า วันนี้กระทรวงมหาดไทยถูกโจมตีว่าอำนาจในการกำจัดขยะไม่ใช่ของกระทรวงมหาดไทย ต่อเนื่องมาจากการรวมอำนาจแล้วต้องได้ ขอยืนยันว่าอำนาจหน้าที่เป็นของกระทรวงมหาดไทยโดยตรง ก็ตามขั้นตอนหลังจากที่ท้องถิ่นรวมกันเป็น คลัสเตอร์ และตกลงใจกันว่าจะทำลายขยะด้วยการเผา เป็นพลังงานไฟฟ้า เพื่อลดค่าใช้จ่าย เขาจะต้องตั้งเรื่องมาที่คณะกรรมการ สิ่งปฏิกูล จังหวัด โดยจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานและมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วม พิจารณาตามความเหมาะสมตามกระบวนการทั้งหมด เมื่อคิดว่าถูกต้องตามกระบวนการแล้วก็จะส่งมาที่คณะกรรมการเทคนิค เพื่อพิจารณาอีกครั้งว่าดีหรือไม่อย่างไร ถ้าเห็นว่าถูกต้องก็จะส่งมาที่คณะกรรมการกลางโดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ยืนยันว่าในขั้นตอนนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการที่จะมาดำเนินการใดๆ ส่วนการขออนุมัติสร้างโรงกำจัดขยะดังกล่าวจะได้หรือไม่เวลานี้ยังไม่มีใครตอบได้ ต้องขออนุมัติตามขั้นตอน เพราะกระทรวงพลังงานมีหลักเกณฑ์ที่ว่าถ้าจะสร้างโรงกำจัดขยะจะต้องมีการพิจารณาในขั้นตอนของท้องถิ่นให้เรียบร้อย

เมื่อเรื่องมาถึงคณะกรรมการกลางคณะกรรมการกลางอนุมัติเรื่องจึงจะมาถึงตนเอง เพื่อให้ความเห็นชอบ หากคุณไม่เห็นชอบตามที่เสนอเรื่องมาก็จะต้องมีเหตุผลในการชี้แจง แต่ถ้าการดำเนินการของเขามากถูกต้องจนก็ต้องอนุมัติ หลังการอนุมัติเรื่องก็จะกลับลงไปสู่ท้องถิ่นเพื่อที่จะดำเนินการในขั้นตอนของการประกวดราคา หาผู้ร่วมลงทุน เมื่อได้บริษัทผู้ร่วมลงทุน ก็ต้องไปขอกระทรวงพลังงานว่าอยากจะขายไฟเพื่อให้กระทรวงพลังงานรับซื้อ เมื่อขอได้เรียบร้อยก็ต้องเร่งสร้างโรงกำจัดขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าเพราะไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะส่งไปไม่ทัน

กรณีที่มีการโจมตีบุคคลในครอบครัวของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง กับการสร้างโรงไฟฟ้ากำจัดขยะดังกล่าวนั้น พล.อ.อนุพงษ์ยืนยันว่าครอบครัวไม่ได้ยุ่งเกี่ยว แน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่จะมากล่าวหา กันบ่อยๆได้ถ้าคิดว่ามีข้อมูลก็ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการตรวจสอบ ประเทศชาติถ้ามีใครโกงต้องจับเข้าคุยไม่ใช่มาด่าทอส่งเดช ขอแนะนำว่าอย่ามาโจมตีควรจะไปบอกหน่วยงาน ที่เขามีอำนาจในการตรวจสอบและลงโทษ

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า สำหรับกฎหมายค่าเก็บขยะ ในชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ดั้งเดิมกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ออกกฎหมายตัวนี้ โดยมีอัตราเดิมอยู่ที่ศูนย์ถึง 40 บาท แต่ท้องถิ่นบางแห่งไม่เก็บเลย เก็บเพียงบางแห่ง ซึ่งการเก็บเงิน ไม่เพียงพอต่อการนำขยะมากำจัด ขาดทุนทุกปี ต่อมาเราคิดว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้คงไม่ได้ ซึ่งในต่างประเทศ เขาคิดว่าถ้าใครเป็นผู้ทำให้เกิดมลภาวะ สิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องขยะหรือน้ำเสีย จะต้องเป็นผู้จ่าย ในบางประเทศจะจัดเก็บค่าน้ำประปา พร้อมเสียค่ากำจัดน้ำเสียไปด้วย แต่ประเทศเรายังไม่ได้ทำแบบนั้น รวมถึงเรื่องขยะด้วย จะต้องมีการดำเนินการตามความเป็นจริงซึ่งได้มีการคำนวณมาแล้ว โดยตอนหลังได้มีการขอแก้พระราชบัญญัติการรักษาความสะอาด โดยขอให้เราเป็นคนคำนวณซึ่งการคำนวณแล้วใกล้เคียงกับที่กระทรวงสาธารณสุขคำนวณ ซึ่งเราคำนวณว่าค่าจัดเก็บขยะจนไปถึงที่กำจัดขยะ จะต้องจัดเก็บ 102 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน และก็รู้ว่าการจัดเก็บดังกล่าวเกิดปัญหาแน่ จึงต้องค่อยๆสร้างการยอมรับไปก่อน เพื่อให้คนยอมรับได้โดยจะเก็บ 60 บาทในขั้นต้นไปก่อน ไม่ได้เริ่มต้นที่ศูนย์เหมือนเดิมแต่จะเริ่มต้นที่ 60 บาท

‘เรื่องนี้ได้ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว  โดยจะรณรงค์สร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชน ทั่วประเทศซึ่งจะต้องสร้างความเข้าใจในเรื่องของการจัดเก็บขยะคัดแยกขยะจนถึงการกำจัดขยะ  แต่ช่วงรอออกกฎหมาย  ปรากฎว่าในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเขาก็ได้ทำหลักเกณฑ์การจัดเก็บมาใหม่โดยเริ่มที่ 0 ถึง 65 บาท ทำให้ท้องถิ่นเก็บบ้างไม่เก็บบ้าง ซึ่งยอมรับว่า กฎหมายสองหน่วยงานนี้ซ้อนกันอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าในส่วนของท้องถิ่นมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็สามารถที่จะจัดเก็บตามตัวเลข 102 บาท ซึ่งไม่ได้รวมค่ากําจัดอีก 65 บาทที่เราไม่คิดได้แต่ตอนนี้คงยังไม่เก็บต้องสร้างการรับรู้ก่อน แต่จะต้องเริ่มต้นเก็บที่ 60 บาทก่อนทันที  ยังไม่มีปรับแก้กฎหมายอยู่ที่ 40 บาท

หลายคนอาจจะมองว่าจะเก็บเงินตรงนี้ได้อย่างไรในเมื่อมันเป็นการบริการของภาครัฐ แบ่งเงินส่วนนั้นคือภาษีที่มาจากประชาชนซึ่งควรจะนำไปให้บริการอีกหลายส่วนกับประชาชน แต่ถ้านำเงินส่วนนั้นที่เป็นภาษีของประชาชนมา ใช้ในเรื่องของการจัดเก็บและกำจัดขยะก็จะไปลดทอนในส่วนที่ภาครัฐจะต้องให้บริการด้านอื่นอย่างเช่นสวนสาธารณะหรือฟุตบาทและเรื่องอื่นๆ ในที่สุดก็จะย้อนกลับมาเป็นปัญหาวังวน ประเทศไทยไม่อยากเสียภาษีแต่เรียกร้องที่จะอยากได้หลายอย่าง ประเทศเขาจัดเก็บมากกว่านี้เยอะด้วยเก็บตามความจริง’  พล.อ.อนุพงษ์กล่าว